วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เกราะป้องกันมะเร็ง ใครบ้างควรฉีด?
โรคไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis) เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของตับ จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซึ่งมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี โดยไวรัสทั้งหมดมีการติดต่อแตกต่างกันไปตามชนิดและลักษณะเฉพาะ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนอกจากจะส่งผลให้ตับเสียหาย ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว หากปล่อยไว้จนตับอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคตับแข็ง และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้
แพทย์เตือนผู้เกิดก่อนปี 2535 เสี่ยงไวรัสตับอักเสบบี! แนะฉีดวัคซีนป้องกัน
วัย50+ ต้องรู้! 14 โรคภัยเงียบอันตราย แพทย์แนะตรวจสุขภาพทุกปี
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B virus; HBV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายอย่างยิ่ง หากได้รับเชื้อแล้วไม่ได้รับรักษา อาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง ตับวาย ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยสามารถติดต่อผ่านทางการคลอด การสัมผัสเลือดหรือแผลเปิดของผู้ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ และการใช้อุปกรณ์ที่แหลมคมหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด หรือแปรงสีฟัน
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
อาจเรียกได้ว่าเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งชนิดแรก เนื่องจากสามารถช่วยป้องกันมะเร็งตับ อันเกิดต่อเนื่องจากภาวะไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งตับถึง 80% และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับสองของโรคมะเร็งทั้งหมด
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ประกอบด้วยโปรตีนจากผิวของไวรัส (HBsAg) ซึ่งไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่จะไปกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานขึ้นในร่างกาย สามารถฉีดป้องกันได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด โดยฉีดเหมือนกับผู้ใหญ่ ทั้งหมด 3 เข็ม หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว 1 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 2 และฉีดเข็มที่ 3 หลังจากฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 5 เดือน
เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ครบ 3 เข็ม ส่วนใหญ่พบว่าร่างกายสร้างภูมิคุมกันได้มากถึง 97% และสามารถป้องกันการติดเชื้อได้นานตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ประมาณ 1-2 เดือน ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่ามีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี หากยังไม่มีภูมิต้านทาน ควรฉีดวัคซีนเพิ่มตามคำแนะนำของแพทย์
ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
- ทารกแรกเกิด เด็ก และวัยรุ่นที่ไม่ได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด
- ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาล
- ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
- ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไต
- ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อยๆ
- ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
- ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
- ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรมทางเพศ เช่น รักร่วมเพศ มีคู่นอนหลายคน
เนื่องจากไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดเกิดจากเชื้อไวรัสแตกต่างกัน การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบแต่ละสายพันธุ์จะสามารถป้องกันเฉพาะไวรัสสายพันธุ์ที่ฉีดเท่านั้น ดังนั้นหากจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดใดควรเจาะจงชนิดของวัคซีนให้ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีรวมในเข็มเดียวกัน โดยสามารถสอบถามรายละเอียดจากแพทย์หรือโรงพยาบาลที่ต้องการเข้ารับการฉีดวัคซีน
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่