ดึงเกมเคาะชื่อนายก ปชน.เชื่อสะเด็ดนํ้าหากงดออกเสียง2พรรครวมกันอยู่ยาว
รอเก้อ! "พรรคประชาชน" ถกแต่ไร้ข้อสรุปหนุนใคร ประชุมต่อ 2 ก.ย.เชื่อสะเด็ดน้ำ “พริษฐ์” แย้มต้องเคาะเลือกแดง-น้ำเงิน เพราะหากไม่เลือกใครอาจทำให้ 2 พรรคไหลไปรวมกันแล้วอยู่ยาว “ภูมิธรรม” ท่องคาถาเดิมบอกหากเลือก ภท.อาจส่งผลคดีเขากระโดง-ฮั้ว สว. “ประเสริฐ” ขู่หาก ปชน.แทงกั๊กเจอไพ่ยุบสภาแน่ ส่วน “พปชร.” บอกพลังข้าวหน้าไก่เทใจให้เสี่ยหนูเต็มสูบ “ธนกร” ปลุกพรรคเลือกข้าง ชี้คำตัดสินศาลแสดงชัดรัฐบาลหมดความชอบธรรม “วันนอร์” วางปฏิทินเลือกนายกฯ ไว้ 4 วัน 3-4-5-10 ก.ย.
เมื่อวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2568 ยังคงมีความต่อเนื่องในการรวบรวมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการพูดคุยกับพรรคประชาชน (ปชน.) ในการขอเสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคว่า ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นมาก ก่อนที่จะเข้าไป และหลังจากที่เดินเข้าไปแล้ว ก็รออยู่ไม่มีผู้บริหารรับ และได้เดินเข้าไปพบ 4-5 คนในห้องประชุม ซึ่งการพูดคุยได้เสนอว่าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรครับข้อเสนอของพรรคประชาชนทั้งหมด เป็นเรื่องที่ตรงกัน เพราะวันนี้ประเทศวิกฤต ถึงเวลาที่จะต้องรีเซตการเมืองใหม่
“สิ่งที่พรรคประชาชนถามกลับมา ประเด็นแรกคือรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่มีเจตนาอะไร หัวใจสำคัญคือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ผ่านกลไกของ ส.ส.ร. ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเห็นด้วย แต่ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยไม่ได้สนับสนุน ซึ่งก็ไม่ได้ติดใจใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อประกอบใช้ในระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากพรรคประชาชนติดใจเรื่องนี้ก็สามารถถอนออกได้ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเรายอมรับอยู่แล้วว่าจะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” นายภูมิธรรมกล่าวและว่า ส่วนเรื่อง MOU 43-44 ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลใหม่ ยืนยันไม่มีอะไรติดใจ หากจะดำเนินการในเรื่องนี้ และไม่มีประโยชน์อะไรแอบแฝง จึงเห็นควรแนบไปกับประชามติ ถ้าประชาชนเห็นอย่างไร รัฐบาลใหม่จะได้ดำเนินการตามนั้น วิกฤตเรื่องนี้จะได้จบลง
นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า เห็นแกนนำพรรค ปชน.หลายคนพูดว่าหัวใจสำคัญของการตัดสินใจเรื่องนี้ อยู่ที่การดูว่าใครอยู่ในความควบคุมได้มากที่สุด ซึ่งการพิจารณาไม่ใช่เรื่องของการควบคุมได้ เพราะตอนนี้หากพูดกันตามความจริงก็ไม่มีใครคุมใครได้ แต่สิ่งสำคัญคือ การที่จะปล่อยให้พรรคภูมิใจไทยมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ในเวลาอีก 4 เดือนก่อนเลือกตั้ง ขอถามว่าคดีเขากระโดงจะกลับไปเป็นแบบเดิมหรือไม่ เช่นเดียวกับเรื่องการฮั้ว สว.ที่กำลังเข้าสู่การเปิดประเด็นจับกุม ซึ่ง 2 เรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญ
“การแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นหัวใจสำคัญใครจะทำเต็มที่ได้มากกว่ากัน พรรคเพื่อไทยยืนยันในเรื่องนี้มาตลอด สิ่งที่เคยเป็นปัญหาในบางมาตราที่มีความแตกต่างกัน แต่การยกมือโหวตตรงกัน คือให้ตั้ง ส.ส.ร. จึงถามว่าใครคือผู้มีบทบาทในการควบคุม สว. ฝากให้ไปคิด”
นายภูมิธรรมยอมรับว่า เคยบาดหมางกัน แต่เรายืนยันในข้อตกลงมาตลอด การที่บอกว่าพรรคเพื่อไทยบิดพลิ้วหรือตระบัดสัตย์ 2 ครั้ง ที่มีการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกล ล้วนเป็นคนของพรรคเพื่อไทยที่เสนอชื่อทั้ง 2 ครั้ง และทุกเสียงของพรรคเพื่อไทยยกมือให้หมด แต่สิ่งที่บอกคือ สว. จะโหวตให้แต่สุดท้ายไม่เลือก วันนี้อยากจะร่วมมือกัน ลืมเรื่องเก่าๆ และอยากจะร่วมมือกัน สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ทุกคนยอมรับว่าปล่อยประเทศให้พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชนที่มี 360 เสียงเป็นฝ่ายค้านไม่ได้ ในขณะที่รัฐบาลมีเพียง 143 เสียง ไม่มีประเทศไหนมาเจรจาด้วย เพราะไม่มีความเชื่อมั่นเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้อยู่ในอำนาจของพรรคประชาชนที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ
นายภูมิธรรมยังกล่าวถึงกรณีนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่ได้รับการติดต่อจากพรรค และไม่ได้ถูกเชิญให้ร่วมคุยกับพรรคประชาชนเมื่อวันที่ 31 ส.ค.ว่า ใครจะรู้ดีเท่าพรรคเพื่อไทย และเท่าที่ฟังก็มีหลายคำตอบ แต่ยืนยันได้แจ้งนายชัยเกษมแล้ว
พท.ขู่ยุบสภา
ขณะที่นายชัยเกษมกล่าวว่า มีความพร้อมในการเป็นนายกฯ พรรค พท.มีมติอย่างไรก็ว่ากันไปตามนั้น ส่วนเรื่องการยอมรับเงื่อนไขจากพรรค ปชน.ก็เป็นไปตามที่นายภูมิธรรมได้ให้สัมภาษณ์ไป
ส่วนนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลฯ แกนนำพรรค พท.กล่าวว่า มั่นใจว่าพรรค ปชน.จะเลือกพรรค พท. เพราะมีข้อเสนอที่มีการพูดคุยกัน และคิดว่าประเทศจะได้เดินหน้าไปได้
ถามว่า ถ้าพรรค ปชน.เลือกโหวตให้พรรค ภท. พรรคเพื่อไทยจะใช้เกมการยุบสภาหรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่า เรื่องการยุบสภาถือเป็นทางออกทางหนึ่งเพื่อไม่ให้บ้านเมืองเกิดทางตัน เพราะสมมุติเกิดกรณีพรรค ปชน.ไม่ตัดสินใจร่วมมือกับพรรคใดเลย ถ้าเกิดแบบนี้จะทำอย่างไร แบบนี้บ้านเมืองจะไปอย่างไรต่อ ซึ่งทางออกเรื่องการยุบสภาก็มีคนวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าทำได้และทำไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญด้วย ในอนาคตคงต้องชัดเจนในประเด็นนี้ด้วย
นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊กตำหนิกรณีเอฟซีพรรค ปชน.ถือป้ายและด่าคณะนายภูมิธรรมที่ไปหารือที่พรรค ปชน.ว่า "ถือว่าทุเรศ ไร้วัฒนธรรม อารยชนไม่ควรทำอย่างยิ่งไม่ว่าทำกับใคร มันมิใช่ฤดูหาเสียงนะ เพราะมันเกินไป"
ด้านนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมว.เกษตรฯ ในฐานะนายทะเบียนพรรคกล้าธรรม (กธ.) ยืนยันว่า พรรคยังยึดมติเดิม ซึ่งหากมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็จะต้องเรียกประชุมพรรคกันอีกครั้ง
นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะหนึ่งในแกนนำกลุ่ม 18 กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่พรรค รทสช.จะยังคงเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต่อไป เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญชัดเจนให้นายกฯ พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง สะท้อนถึงวิกฤตความชอบธรรมในสายตาประชาชนและสังคมโลก ที่ไม่อาจเพิกเฉยหรือมองข้ามได้อีกต่อไป
“วันนี้พรรคเพื่อไทยยอมทุกอย่าง ทิ้งแม้กระทั่งศักดิ์ศรีเพื่อให้ตัวเองได้เป็นรัฐบาลต่อ ทั้งๆ ที่รัฐบาลชุดนี้หมดความชอบธรรมไปแล้ว การเมืองที่มุ่งแต่จะกอดเก้าอี้เอาไว้ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้แก่ประเทศและประชาชนเลย วันนี้ประชาชนกำลังรอผู้นำที่จะมาทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคนเพียงบางกลุ่ม ที่เอาประโยชน์ชาติไปแลกกับประโยชน์ของตัวเอง”
นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตที่ปรึกษารองนายกฯ กล่าวถึงกรณีนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์คู่แข่งโดยเฉพาะนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่ารับไม่ได้ เพราะหากนายเดชอิศม์จะร่วมรัฐบาลกับซีกใดเป็นสิทธิ แต่ทางการเมืองต้องสุภาพมากกว่านี้ นายเดชอิศม์ต้องตั้งสติ ยิ่งด่ายิ่งวิจารณ์คนอื่นทำให้คนอื่นดูดี อีกทั้งตัวนายเดชอิศม์ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองเป็นอย่างไร และการวิจารณ์คนอื่นยังกลายเป็นการแสดงถึงความก้าวร้าว
“การออกมาพูดเช่นนี้เป็นการรับงานใครมาหรือไม่ ซึ่งในฐานะที่อยู่การเมืองมานาน มองว่าการแสดงออกแบบนี้มีเป้าหมาย แนวโน้มเอาใจผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่ง จึงอยากเตือนในฐานะรุ่นพี่คนหนึ่ง ขออย่าทำพฤติกรรมแบบนี้ทางการเมือง เขาเรียกว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษและไม่ใช่นักเลงตัวจริง”
เสี่ยหนูไม่ก้าวล่วง ปชน.
ส่วนความเคลื่อนไหวพรรค ภท.นั้น ได้มีการประชุม สส.พรรค โดยนายอนุทินกล่าวตอบข้อถามกรณีพรรค พท.ไปเจรจากับ ปชน. โดยใช้คดีฮั้ว สว.และคดีเขากระโดงโจมตีพรรค ภท.ว่า อย่าไปพูดอะไรเลย วันนี้การเมืองยังปกติ เป็นการประชุมพรรคประจำสัปดาห์
ส่วนที่มีแกนนำของพรรคเพื่อไทยออกมาพูดว่า หาก ปชน.เลือกแคนดิเดตของพรรค ภท.จะยุบสภาทันที นายอนุทินกล่าวว่า การยุบสภาเป็นสิทธิตามกฎหมาย หากทำอะไรให้ถูกกฎหมายก็ทำได้หมด
ถามถึงการลุ้นท่าทีของพรรค ปชน. นายอนุทินกล่าวว่า อย่าไปคาดการณ์หรือก้าวก่าย ก้าวล่วงไม่ได้ เราได้เสนอกับหัวหน้าพรรคประชาชนแล้ว ทั้งเงื่อนไขที่พรรค ปชน.เรียกว่าทีโออาร์ เราก็ยืนยันกับหัวหน้าพรรค ปชน.ว่าเรายินดีที่จะยอมปฏิบัติ และทำให้เกิดทางออกที่ดีของประเทศ
ถามถึงท่าทีแสดงความเชื่อมั่นต่อพรรคประชาชน ในการโหวตสนับสนุนให้เป็นนายกฯ นายอนุทินกล่าวเพียงว่า “ไปเปิดเพลงของพี่แจ้”
ทั้งนี้ การเจรจากันระหว่างพรรค ภท.และ ปชน.ที่ต้องทำบันทึกข้อตกลงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล หรือ MOA ระหว่างกันมีสาระสำคัญคือ การดำรงสถานะของการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์เดิมที่ ภท.ได้ให้คำมั่นกับ ปชน.ไว้ โดยขณะนี้เสียงสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ เพียงพอ 138 เสียงแล้ว ประกอบด้วย ภูมิใจไทย 69 เสียง, กล้าธรรม 25 เสียง, พลังประชารัฐ 18 เสียง, รวมไทยสร้างชาติ กลุ่มนายสุชาติ ชมกลิ่น 16 เสียง, ประชาธิปัตย์ 2 เสียง, ไทยสร้างไทย 3 เสียง, พรรคเล็ก 4 เสียง และเป็นธรรม 1 เสียง ซึ่งหากรวมกับพรรคประชาชน 143 เสียง จะได้ 281 เสียง ซึ่ง ภท.พยายามควบคุมไม่ให้เสียงเกิน 290 เสียง เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์เดิมที่ ปชน.และ ภท.สื่อสารกันว่าจะไม่ให้เสียงเกินความจำเป็น
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวหลังเดินทางออกจากที่ทำการพรรค ภท.ว่าเข้ามาสังเกตการณ์ความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเราพร้อมยกโหวตให้ตั้งแต่กินข้าวหน้าไก่กันแล้ว
“ยืนยันว่าพลังข้าวหน้าไก่ จะโหวตให้นายอนุทินทั้งพรรค” นายชัยวุฒิกล่าว
สำหรับความเคลื่อนไหวของพรรค ปชน.นั้น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค ปชน. ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมนัดพิเศษของ สส.พรรคว่า ที่ประชุมจะมีการแลกเปลี่ยนอภิปรายให้ความเห็นกันรอบด้าน ทั้งความเสี่ยงของฉากทัศน์ต่างๆ โดยจะพยายามหารือให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด
นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน.กล่าวว่า ต้องรับฟังความคิดเห็น ไม่ใช่แค่ สส. แต่รวมถึงคณะทำงานของพรรคที่อยู่ในจังหวัดต่างๆ และสมาชิกพรรคด้วยเช่นกัน เพื่อดูข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้ว่าสามารถตัดสินใจเลือกได้เลยหรือไม่ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะได้รับคำตอบภายในวันนี้หรือไม่
ปชน.ท้ายุบสภาเลย
ด้านนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรค ปชน. กล่าวถึงกรณีพรรค พท.ออกมาระบุหาก ปชน.ไม่สามารถตัดสินใจเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งได้อาจยุบสภาว่า ความจริงแล้วพรรคเพื่อไทยไม่จำเป็นต้องรอให้พรรค ปชน.ตัดสินใจก็ยุบสภาได้ มาถึงวันนี้เรายังคงยืนยันว่า ในฐานะรักษาการนายกฯ มีอำนาจในการยุบสภา อยู่ที่นายภูมิธรรมและพรรคเพื่อไทย จึงขอย้ำกับประชาชนว่า เหตุผลที่เราต้องมาประชุมด้วยความหนักใจ ณ เวลานี้ เพราะก่อนหน้านี้จนถึงวันนี้ยังไม่มีการยุบสภา ดังนั้นเราจึงต้องหารือว่า เราจะสามารถใช้เสียงของเรา 143 เสียงในสภาอย่างไร เพื่อเลือกนายกฯ ที่ไปทำหน้าที่ยุบสภา
“ถ้าพรรคเพื่อไทยต้องการยุบสภา ไม่ต้องรอให้เราตัดสินใจ” นายพริษฐ์ย้ำ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในที่ประชุมพรรค ปชน.ยังมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าการจะโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคการเมืองใด รวมถึงท่าทีจะไม่โหวตให้พรรคการเมืองใดด้วย
วันเดียวกัน เวลา 17.25 น. นายพริษฐ์ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมนัดพิเศษของ สส.พรรคประชาชนว่า ความเห็นในที่ประชุมยังมีหลากหลายมาก หลายคนแสดงความเห็นว่ามีความหนักใจ ไม่ว่าเลือกทางใดทางหนึ่ง เราจึงมีข้อสรุปในวันนี้ว่าจะประชุมต่อในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้ สส.ที่มาวันนี้ได้ตกผลึก รวมถึงมีการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม และ สส.ที่มาในวันนี้ไม่ได้จะได้มาหารือกันอย่างเต็มที่ในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้จะนำความเห็นของ สส.มาประกอบความเห็นกับทุกภาคส่วน ทั้งทีมเครือข่าย และทีมงานพรรค
นายพริษฐ์ย้ำว่า หลายคนหนักใจทั้ง สส.และประชาชน หากถึงวันนั้นที่ต้องเลือกคนเข้าไปในการยุบสภา ซึ่งบางคนก็ตั้งคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ หรือเราไม่ต้องทำอะไรเลย แต่เราพยายามคิดในจุดหนึ่งว่า หากไม่มีการยุบสภาเกิดขึ้นจริงๆ แล้วมีการเลือกนายกฯ คนใหม่ ณ เวลานี้ เพราะไม่มีกลุ่มใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง ดังนั้นก็ต้องคิดต่อว่าหากเราอยู่เฉยๆ แล้วงดออกเสียงจะเกิดอะไรขึ้น เราจึงมองไปถึงความน่ากังวล 2 ประการ คือ 1.ปัจจุบันที่ทั้งแดงและน้ำเงินไม่สามารถร่วมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง เขาจะไหลกลับไปรวมกัน ส่วนเหตุผลที่กังวลในตรงนี้ คือหากเขาไปรวมกันก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก และมีแนวโน้มอยู่ครบวาระอีกเกือบ 2 ปี ซึ่งขัดกับจุดยืนของเราที่ต้องการการเลือกตั้งโดยเร็ว
“ยังมีความเป็นไปได้ที่สองพรรคนั้น หากเขาไม่กลับไปรวมกัน ก็มีความเสี่ยงว่าจะไหลออกไปถึงนายกฯ ที่อยู่นอกระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อประเทศแน่นอน เราจึงมีความหนักใจ” นายพริษฐ์กล่าว
นายพริษฐ์ยอมรับว่า ไม่ไว้ใจทั้งคู่แต่ก็ต้องมาประเมินความเสี่ยงกัน ว่าจากสาระและท่าทีที่เราเห็น ชั่งวัดกันด้วยหลักฐานว่าอันไหนมีความเสี่ยงน้อยกว่า ยืนยันว่าตัดสินใจด้วยเหตุและผล ไม่เอาอารมณ์มาตัดสิน เพราะเราตระหนักดีว่าเรามาอยู่จุดนี้ได้เพราะใคร เราทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรได้เพราะพี่น้อง 14 ล้านคนที่เลือกเราเข้ามา ขอให้คำมั่นสัญญาว่า เราจะไม่เอาความไว้วางใจนั้นไปทำอะไรที่ขัดหลักการ ผิดคำพูด หรือไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. กล่าวว่า คิดว่าพรุ่งนี้น่าจะได้ผลสรุป แล้วจะมีการโหวตกันภายในพรรคอีกครั้ง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ขณะที่นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน กล่าวว่า ความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ ขณะนี้ก็ยังหลากหลาย เพราะประชาชนรู้สึกว่าทำไมต้องมาเลือกนายกฯ บ่อยขนาดนี้
ด้าน น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรค ปชน. กล่าวเช่นกันว่า พรุ่งนี้จะมี สส.มาประชุมและมีการตัดสินใจในวันพรุ่งนี้ ส่วนการเตรียมพร้อมเลือกตั้งนั้นเตรียมพร้อมมานานแล้ว พร้อมเลือกตั้งตลอดเวลา
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน บอกสั้นๆ ว่า การประชุมวันนี้บรรยากาศสนุกดี แต่ไม่ขอตอบคำถามเรื่องความเห็นว่าส่วนใหญ่ไปในทิศทางใด
ส่วนนายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. พรรคประชาชน ระบุว่า การประชุมวันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป และบรรยากาศในการประชุมมีความคิดเห็นที่หลากหลาย
ฝ่ายนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคประชาชน กล่าวว่า ความคิดเห็นวันนี้มีความหลากหลาย พรุ่งนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุป
ทั้งนี้ ก่อนการประชุมกลุ่ม สว.สำรอง นำโดยนายอุทัย อัตถาพร และนายธนวัฒน์ ศรีสุข ได้เข้ายื่นหนังสือข้อเสนอแนะการตัดสินใจโหวตนายกฯ ถึงนายณัฐพงษ์ ซึ่งมีผู้ช่วยคือ นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการหัวหน้าพรรคประชาชนเป็นตัวแทนรับ โดยระบุว่าการเข้ามาบริหารประเทศของพรรค ภท.จะส่งผลต่อการดำเนินคดีฮั้ว สว.และทำให้สภาสูงตกอยู่ภายใต้พรรคการเมืองหนึ่ง เช่นเดียวกับเครือข่ายคนไทยรักชาติ ก็ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายณัฐพงษ์ในประเด็นเดียวกัน
สภาสำรองวันโหวตนายกฯ
รศ. ดร.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงอำนาจในการยุบสภาของนายกรัฐมนตรีรักษาการว่าทำได้หรือไม่ตามรัฐธรรมนูญ ว่าประเด็นดังกล่าวมีข้อโต้แย้งกันมากในหมู่นักกฎหมาย เชื่อว่าสุดท้ายไม่ว่าจะไปทางไหน สุดท้ายก็อาจจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะหากนายกฯ รักษาการยุบสภาก็จะมีคนไม่เห็นด้วย ก็จะไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ศาลวินิจฉัย ที่ก็ต้องรอฟังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะว่าอย่างไร ก็จะมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอีก
ขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ว่า มอบหมายให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวกลางในการรับเรื่องจากพรรคการเมือง ที่มีความพร้อมในการเสนอชื่อนายกฯ แต่เมื่อพิจารณาตามข่าวที่ออกมาว่าพรรค ปชน.จะประชุมตัดสินใจในที่ 1 ก.ย. จึงคิดว่าวันที่ 3 ก.ย.ไม่น่าจะทัน เนื่องจากหากการโหวตเลือกนายกฯ ต้องแจ้งสมาชิกล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน ดังนั้นจะเหลือวันที่ 4 และ 5 ก.ย.ที่จะมีความเป็นไปได้ ซึ่งสภาก็พร้อม เพราะได้นัดประชุมไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 3-5 ก.ย.
ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภา กล่าวว่า ยังไม่มีพรรคการเมืองใดติดต่อประสาน แจ้งเพิ่มระเบียบวาระเลือกนายกฯ แต่ประธานสภาได้สั่งให้สแตนด์บายไว้ทั้งหมด 4 วัน คือ 3-4-5 ก.ย.และ 10 ก.ย.