ทีดีอาร์ไอ จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาจริงจัง หวั่นเศรษฐกิจซึม คนตกงานเพิ่ม หนี้พุ่ง
ทีดีอาร์ไอ จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจัง หวั่นเศรษฐกิจซึม คนตกงานเพิ่ม หนี้ครัวเรือนสูง จับตาวิกฤตการเมืองสลับขั้ว นโยบายเศรษฐกิจอาจเปลี่ยน
วันที่ 26 ส.ค.2568 นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า จากภาวะสังคมที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ประกาศออกมามีความกังวลการลดคนหรือเลิกจ้างสูงขึ้น รวมถึงระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงนั้น ความน่ากังวลใจตอนนี้มองว่าเป็นเรื่องหนี้ครัวเรือน เมื่อประชาชนเป็นหนี้สูง บวกกับเศรษฐกิจภาพรวมยังไม่ได้กลับมาเติบโตได้ดี
จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะซึมตัว โตระดับ 2% ต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปีครึ่ง ทำให้รายได้ที่เติบโตจะไม่ได้เพิ่มขึ้นตามค่าครองชีพ ซึ่งคนที่มีความสามารถในการหารายได้ หรือตักตวงรายได้มักเป็นคนระดับบนๆ อยู่แล้ว ทำให้เศรษฐกิจฐานรากจะแย่มาก
“ปัญหาการเลิกจ้างเพิ่มขึ้น และเลิกจ้างในอายุที่ต่ำลงกว่าเดิม ต้องบอกว่าประเทศไทยมีภาคเกษตรรองรับกลุ่มผู้ที่ไม่มีงานทำ หรือหากถูกเลิกจ้างก็สามารถกลับภูมิลำเนาไปทำงานในภาคการเกษตรได้ ตัวเลขการตกงานจึงไม่ได้ดูน่ากลัวมากนัก แต่สิ่งที่มีความน่ากลัวและเป็นกังวลคือ คุณภาพงาน หมายถึงบุคคลที่ยังมีงานทำ อาจได้งานทำจริงแต่ไม่เหมาะสมกับศักยภาพที่มี
เพราะมีความรู้ความสามารถ มีกำลังที่ควรทำงานได้ค่าตอบแทนที่ดีอย่างเหมาะสม กลุ่มนี้กลับเสี่ยงที่จะถูกเลิกจ้างไป ทั้งที่ยังมีความสามารถในการทำงาน จึงไม่รู้ว่าเมื่อถูกเลิกจ้างแล้วจะนำทักษะที่มีไปต่อยอดทำงานอะไรอีก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานได้แย่ลง ถือเป็นความกังวลและเป็นปัญหาน่ากังวลใจ”
นายนณริฏ กล่าวว่า วิกฤตอีกเรื่องในตอนนี้คือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย หากเศรษฐกิจไม่ดีบางส่วนต้องการนโยบายในการประคองเศรษฐกิจ และนโยบายระยะยาว ปรับโครงสร้างให้คนฐานรากกลับมาได้ หรือเศรษฐกิจรากหญ้ากลับมาดีขึ้น แต่เมื่อมีความไม่แน่นอนทางการเมืองแบบนี้ ท้ายสุดก็ไม่รู้ว่าการเมืองไทยจะเดินหน้าไปอย่างไร
นำไปสู่ปัญหาต่อมาคือ นโยบายต่างๆ ที่ควรเข้ามาแก้ไขและประคองเศรษฐกิจจะออกมาล่าช้า ตามวิกฤตการเมืองจึงสอดรับกับมุมมองของสภาพัฒน์ สะท้อนถึงระยะข้างหน้าคงต้องเหนื่อยกันต่อไป
ขณะที่หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อาทิ การสลับขั้ว นโยบายเศรษฐกิจก็อาจเปลี่ยนไป ต้องมาดูอีกครั้งว่าจะดีกว่าเดิมหรือไม่
ส่วนการเลือกตั้งใหม่มีข้อดีคือ ทำให้ประชาชนมีโอกาสได้เลือกนโยบายใหม่ ไม่ได้เป็นด้านเสียด้านเดียวเท่านั้น โดยการแก้ไขปัญหาหลักๆ เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาแก้ไขและทำอย่างจริงจัง เพราะปัญหาเศรษฐกิจ การเลิกจ้างงาน และความไม่แน่นอนทางการเมือง ถือเป็นเรื่องที่ประชาชนแก้ไขด้วยตัวเองได้ยากและใช้เวลานาน
ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือน การตกงานเร็ว หรือเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สิ่งเหล่านี้ต้องการกำลังจากรัฐบาลเข้ามาช่วยสนับสนุน ปรับโครงสร้างให้ไปต่อได้ โดย 3 เรื่องที่มองว่ามีความกังวลมากสุดคือ
1.ผลของภาษีสหรัฐ ประเทศไทยแก้ไขผลกระทบได้มากน้อยเท่าใด
2.ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งต้องการนโยบายจากภาครัฐเข้ามาช่วยในการแก้ไขปัญหา
3.ความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยต้องการรัฐบาลที่มีความสามารถและจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้จริง
สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้ ยังไม่มองว่าควรทำมากนัก แต่หากจะทำออกมาก็อยากให้เป็นการกระตุ้นในกลุ่มที่อยู่ระดับรากหญ้าจริงๆ มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนจริงๆ ส่วนรูปแบบก็อาจเป็นลักษณะคนละครึ่ง ที่ออกมาเป็นโครงการขนาดเล็ก เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนระดับฐานรากให้ยืนต่อได้ก่อน
แต่ปัญหาในปัจจุบันคือ วิกฤตที่เกิดขึ้นประเมินว่าอาจลากยาวกว่าเดิม ทำให้การกระตุ้นในระยะสั้นไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาได้ จึงต้องหันมาแก้ไขโครงสร้างและปัญหาระยะยาวมากขึ้น
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ทีดีอาร์ไอ จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาจริงจัง หวั่นเศรษฐกิจซึม คนตกงานเพิ่ม หนี้พุ่ง
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th