ธนารักษ์ MOU กองทัพเรือ เปิดโครงการ Clean Energy ต้นแบบการใช้พลังงานสะอาดในที่ราชพัสดุ
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “Clean Energy” พร้อมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการจัดทำต้นแบบการใช้พลังงานสะอาดในพื้นที่ราชการ โดยมี พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เข้าร่วมลงนาม ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการพลังของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานสะอาด
ทั้งนี้ สะท้อนเจตนารมณ์ของกรมธนารักษ์ในการยกระดับที่ราชพัสดุจาก “สินทรัพย์ที่ถูกมองข้าม” ให้กลายเป็น “สินทรัพย์แห่งอนาคต” ยกระดับ “ที่ราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์” สู่ “ที่ราชพัสดุเพื่อสิ่งแวดล้อม”ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาความท้าทายที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง และเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว รัฐบาลไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608 ผ่านนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาดในหลายมิติ
ดร. เอกนิติ กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายนี้ กรมธนารักษ์จึงพลิกบทบาทของที่ราชพัสดุซึ่งเคยถูกมองข้าม ว่าไม่มีประโยชน์ เช่น หลังคาบนอาคารราชพัสดุ หรือที่ราชพัสดุที่เป็นอ่างเก็บน้ำ ให้กลายเป็นฐานพลังงานสะอาดแห่งอนาคต โดยยกเว้น หรือลด ค่าเช่าและค่าแรกเข้าในการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุ เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในที่ราชพัสดุ ใน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ บนหลังคา (Solar Rooftop) บนพื้นดิน (Solar Farm) และบนทุ่นลอยน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ (Floating Solar) เพื่อส่งเสริมให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ เอกชน มีการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะไม่เพียงช่วยลดต้นทุนพลังงานของภาครัฐ แต่ยังเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน สร้างรายได้จากที่ราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์กลับคืนสู่รัฐ และที่สำคัญที่สุดคือการวางรากฐานด้านพลังงานสะอาดให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
หลักเกณฑ์การขอใช้ที่ราชพัสดุเพื่อผลิตพลังงานสะอาดโครงการ Clean Energy
กรมธนารักษ์ได้กำหนด “หลักเกณฑ์กลางการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุเพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์” สำหรับหน่วยงานที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ Clean Energy โดยเปิดโอกาสให้นำที่ราชพัสดุมาพัฒนาเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
- ส่วนราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น – จะได้รับการยกเว้นค่าตอบแทนทั้งหมด หากติดตั้งเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในทางราชการ แต่หน่วยงานต้องรายงานผลการติดตั้งให้กรมธนารักษ์ทราบเมื่อแล้วเสร็จ
- หน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้เช่าที่ราชพัสดุ - จะไม่ต้องเสียค่าเช่าเพิ่มเช่นเดียวกัน หากติดตั้งเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในหน่วยงานของรัฐ แต่ต้องขออนุญาตกรมธนารักษ์ก่อนดำเนินการ
- รัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่ผลิตหรือจำหน่ายไฟฟ้า (กฟผ., กฟน., กฟภ.) - หากติดตั้งเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง จะไม่ต้องเสียค่าเช่าเพิ่มโดยต้องขออนุญาตกรมธนารักษ์ก่อนดำเนินการ แต่หากติดตั้งเพื่อขายไฟเข้าระบบ กรมธนารักษ์จะผ่อนปรนค่าเช่าในอัตราต่ำสุด เช่น Solar Rooftop เก็บค่าเช่าเพียง 2 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน หรือ 2 บาท ต่อตารางวาต่อเดือน ส่วน Solar Farm หรือ Floating Solar คิดค่าเช่าที่ดินเพียง 0.75% ของมูลค่าที่ดินต่อปี ซึ่งถือว่าลดลงถึง 75% จากอัตราปกติ
- ผู้เช่าเอกชน - กรณีติดตั้งเพื่อใช้ไฟเองภายในครัวเรือน (ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์) หรือใช้ในกิจการตามกฎหมายการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะไม่ต้องเสียค่าเช่าเพิ่ม แต่ต้องขออนุญาตกรมธนารักษ์ก่อน หากติดตั้งเพื่อขายไฟเข้าระบบจะต้องเช่าเพิ่มในอัตราผ่อนปรน โดย Solar Rooftop คิดค่าเช่า 2 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน หรือ 2 บาทต่อตารางวาต่อเดือน ส่วน Solar Farm หรือ Floating Solar จะเก็บค่าเช่าที่ดิน 1.5% ของมูลค่าที่ดินต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงถึง 50% จากอัตราปกติ
- การเปิดประมูลจัดให้เช่าใหม่ สำหรับพื้นที่ที่ยังไม่มีผู้เช่า กรมธนารักษ์จะเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาลงทุนโครงการ Solar Farm หรือ Floating Solar โดยกำหนดค่าแรกเข้า 0.5% ของมูลค่าที่ดินตามจำนวนปีที่เช่า และค่าเช่าที่ดิน 1.5% ของมูลค่าที่ดินต่อปี (ลดลงครึ่งหนึ่งจากอัตราปกติ)
ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการต้องทำประกันความเสียหายเฉพาะพื้นที่ติดตั้งเพื่อคุ้มครองกรณีเกิดอัคคีภัยและเหตุทั้งปวง และต้องรายงานผลการลดก๊าซเรือนกระจกต่อกรมธนารักษ์ทุกปี เพื่อให้สามารถรวบรวมและรายงานเป็นภาพรวมของที่ราชพัสดุต่อกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และหากเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ จะต้องแบ่งปันคาร์บอนเครดิต 5% ให้เป็นรายได้แผ่นดินผ่านกรมธนารักษ์ด้วย
ดร.เอกนิติ กล่าวว่า ความร่วมมือกับกองทัพเรือ นับเป็นก้าวสำคัญของโครงการนำร่อง ที่จะเปลี่ยนพื้นที่ราชพัสดุในความครอบครองของกองทัพเรือให้กลายเป็นต้นแบบพลังงานสะอาดของประเทศไทยโดยเริ่มจากโครงการ Floating Solar ที่กรมอู่ทหารเรือ ก่อนจะขยายผลสู่พื้นที่อีก 6 แห่ง อาทิ ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ศูนย์ฝึกทหารใหม่ โรงเรียนชุมพลทหารเรือ กองการบินทหารเรือ และกองเรือฟรีเกตที่ 1 รวมกำลังการผลิตพลังงานกว่า 42,000 kWp
เมื่อโครงการเดินหน้าเต็มรูปแบบ คาดว่าจะช่วยลดค่าไฟฟ้าของกองทัพเรือได้กว่า 20% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 63,000 ตันต่อปี นี่ไม่เพียงเป็นการลดภาระงบประมาณ แต่ยังเป็นพลังสะอาดที่ส่งผลโดยตรงต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ และที่สำคัญคือการสร้าง “ต้นแบบแห่งการเปลี่ยนผ่านพลังงาน” ที่หน่วยงานอื่นสามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคตเปลี่ยนพื้นที่ที่ถูกมองข้าม ให้เป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Net Zero
โครงการ Clean Energy คือภาพสะท้อนบทบาทใหม่ของกรมธนารักษ์ ที่ไม่เพียงทำหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินของแผ่นดิน แต่พร้อมก้าวขึ้นเป็นกลไกขับเคลื่อนอนาคตของประเทศ ผ่านการสร้างมูลค่าและคุณค่าใหม่จากที่ราชพัสดุ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในมิติพลังงาน เศรษฐกิจ และสังคม
ดร.เอกนิติ กล่าวปิดท้ายว่า “Clean Energy ไม่ได้เป็นแค่โครงการด้านพลังงานเท่านั้น แต่คือวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของที่ราชพัสดุ ที่จะถูกเปลี่ยนจากพื้นที่ที่เคยถูกมองข้าม ให้กลับมามีพลัง สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมธนารักษ์ในการ เพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน