37 ปี การลุกฮือ 8888 การเลือกตั้งพม่า 2025 จะเป็นเพียงพิธีกรรมสืบทอดอำนาจ
ครบรอบ 37 ปี เหตุการณ์ลุกฮือของชาวพม่านับล้านเพื่อต่อต้านรัฐบาลทหาร เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1988 หรือที่เรียกกันว่า ‘การลุกฮือ 8888’ (8888 Uprising)
วิกฤติครั้งนั้นของพม่าเริ่มจากการยึดอำนาจของ นายพล เน วิน เมื่อปี 1962 การบริหารประเทศด้วยระบบรัฐบาลทหาร ทำให้เกิดการปิดประเทศ นำพม่าเข้าสู่ยุคมืดที่ยาวนาน จนนำมาสู่จุดแตกหักในปี 1988
นายพล เน วิน
เหตุการณ์ 8888 แม้จะมีการชุมนุมของผู้คนนับล้าน เป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประชาชน มีผู้สละชีพหลายพัน แต่ผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เมื่อ 8 สิงหาคม 1988 ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในประเทศได้ และไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือมีแผนปฏิรูปกี่ครั้ง ทหารก็ยังอยู่ในอำนาจทางการเมืองเหมือนเดิม และหลังการรัฐประหาร 2021 พม่าก็กำลังอยู่ในสถานการณ์ยุตมืดครั้งใหม่และอยู่บนเส้นทางอันตรายกว่าเดิม
จากยุคสร้างชาติสู่ยุคมืด
หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง พม่าเตรียมร่างรัฐธรรมนูญในปี 1947 และจัดการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคสันนิบาตเสรีภาพประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์ (Anti-Fascist People's Freedom League: AFPFL) คือพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง นำโดยบิดาของประเทศ นายพล ออง ซาน
เพียง 4 เดือนหลังการเลือกตั้ง ยังไม่ทันได้รับเอกราชจากอังกฤษอย่างเป็นทางการ นายพล ออง ซาน ก็ถูกมือปืนบุกกราดยิงสังหารพร้อมคณะรัฐมนตรีหลายคน จากนั้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตกเป็นของอู นุ ซึ่งนำพม่าเป็นเอกราชจากอังกฤษในปี 1948
พม่ายุคหลังสิ้น ออง ซาน ต้องเผชิญปัญหาความแตกแยก ทั้งจากภายในพรรค การทำงานประสานกับฝ่ายต่างๆ ชนกลุ่มน้อยเรียกร้องการปกครองตนเอง จนเรียกได้ว่า หลังได้รับเอกราช รัฐบาลพม่าแม้เดินไปข้างหน้าได้ แต่ก็ไม่มีเสถียรภาพ
สวนทางกับกองทัพ หลังการปราบปรามทำสงครามกับชาติพันธุ์อื่น กองทัพพม่ามีความเข้มแข็งมาก ปี 1958 อู นุ ต้องร้องขอให้กองทัพพม่า ภายใต้การนำของ นายพล เน วิน มาเป็นรัฐบาลรักษาการ
การเลือกตั้งในปี 1960 พรรคสหภาพ (Union Party) ของ อู นุ ชนะถล่มทลาย 157 ที่นั่งจาก 250 ที่นั่งในสภาฯ อู นุ จึงพยายามกลับมาใช้การเมืองในระบบรัฐสภาบริหารประเทศอีกครั้ง หลังจากพม่าถูกปกครองโดยกองทัพมา 2 ปี
แต่วันที่ 2 มีนาคม 1962 นายพล เน วิน ก็นำกำลังทหารยึดอำนาจของนายกรัฐมนตรี อู นุ ล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ในนามสภาปฏิวัติแห่งสหภาพ (Union Revolutionary Council) ที่ประกอบด้วยทหารทั้งหมด ด้วยเหตุผลว่า "ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาไม่เหมาะกับพม่า"
เส้นทางสู่การลุกฮือ 8888
หลังยึดอำนาจ เน วิน ตั้ง พรรคโครงการสังคมนิยมพม่า (Burma Socialist Programme Party: BSPP) ขึ้นมาเป็นพรรคการเมืองปกครองประเทศเพียงพรรคเดียว นำประเทศดำเนินนโยบายตามแนวทางสังคมนิยม ยกเลิกวัฒนธรรมตะวันตกที่หลงเหลือจากสมัยอาณานิคมหลายอย่าง โดยเฉพาะการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางการสอน นำมาสู่การปิดประเทศยาวนาน จากแชมป์การส่งออกข้าว กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก
ในยุค เน วิน และ BSPP การบริหารประเทศด้วยกองทัพทำให้เศรษฐกิจยิ่งตกต่ำ เกิดภาวะเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง และเมื่อทหารมีอำนาจ ก็ยากที่จะมีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล เมื่อเกิดการประท้วง หรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐ ก็มักจะถูกโต้กลับด้วยการปราบปรามอย่างรุนแรง
กราฟการพัฒนาของพม่าดิ่งลงเรื่อยมาตลอดเกือบ 3 ทศวรรษ กระทั่งกันยายน 1987 รัฐบาลประกาศยกเลิกธนบัตร 25, 35 และ 75 จั๊ต ทำให้เงินในมือประชาชนกลายเป็นเศษกระดาษที่ไร้มูลค่า และรัฐบาลก็ปฏิเสธที่จะชดเชย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐบาลทหารเริ่มใกล้จุดแตกหัก โดยการประท้วงเริ่มต้นจากนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีย่างกุ้ง (Rangoon Institute of Technology: RIT) ซึ่งรัฐบาลพม่าก็ตอบโต้ขบวนการนักศึกษาไม่ต่างจากประเทศเผด็จการอื่นๆ คือสั่งปิดมหาวิทยาลัย
12 มีนาคม 1988 เหตุการณ์ชุมนุมของนักศึกษาและประชาชนนำไปสู่การปะทะกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเริ่มใช้กำลังปราบปรามรุนแรงมากขึ้น ความรุนแรงที่ดำเนินข้ามวันทำให้มีผู้เสียชีวิตคนแรกคือ หม่อง โฟน มอ นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีย่างกุ้ง
16 มีนาคม 1988 การชุมนุมประท้วงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะและวิทยาศาสตร์แห่งย่างกุ้ง และนักเรียนนักศึกษาจากหลายสถาบัน เดินขบวนไปสมทบที่จุดชุมนุมหลัก สถาบันเทคโนโลยีย่างกุ้ง แต่ปะทะกับตำรวจปราบจลาจลบริเวณใกล้สะพานขาว ทะเลสาบอินยา ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 200 ราย กับอีกจำนวนมากถูกจับกุม ความรุนแรงที่สะพานขาวถูกเรียกว่า เหตุการณ์ ‘สะพานแดง’ จากนั้นรัฐบาลได้สั่งปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทุกแห่ง
18 พฤษภาคม 1988 นักศึกษาเดินขบวนประท้วงไปยังเจดีย์สุเลพญา ย่างกุ้ง และถูกสลายการชุมนุมด้วยตำรวจปราบจลาจล มีผู้เสียชีวิตหลายคน และมีนักศึกษา 41 คนเสียชีวิตจากการขาดอากาศ ระหว่างถูกควบคุมตัวบนรถตู้ส่งเรือนจำอินเส่ง
21 มิถุนายน 1988 หลังสถานศึกษากลับมาเปิดไม่นาน เริ่มเกิดการประท้วงอีกครั้ง ผู้นำนักศึกษาอย่าง มิน โก นาย, โก โก จี, และ โม ธี ซุน เริ่มเข้ามามีบทบาทเป็นแกนนำ ทำให้รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวในย่างกุ้ง 18.00 น.-06.00 น. ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ห้ามเดินขบวน แต่ก็ไม่สามารถควบคุมประชาชนได้ ทำให้เกิดการชุมนุมมากขึ้น และการปราบปรามก็รุนแรงยิ่งขึ้น
9 กรกฎาคม 1988 รัฐบาลยอมยกเลิกเคอร์ฟิว เนื่องจากส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตของประชาชนอย่างมาก รวมทั้งปล่อยตัวนักศึกษาที่ถูกจับกุม ส่วนนักศึกษาที่ถูกสั่งให้ออกจากมหาวิทยาลัยก็กลับเข้าเรียนใหม่ได้
23 กรกฎาคม 1988 ท่าทีของรัฐบาลทหารเหมือนจะเปลี่ยนไป นายพล เน วิน ในฐานะประธานพรรค BSPP ลาออกจากตำแหน่งผู้นำสูงสุด เช่นเดียวกับแกนนำรัฐบาลหลายคน โดยให้คำมั่นว่า จะทำให้ประเทศไปสู่ระบบการเมืองหลายพรรค แต่เชื่อกันว่า เน วิน ก็ยังเป็นคนกุมอำนาจอยู่เบื้องหลัง และในวันลาออก ส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ เน วิน คือประโยคที่ว่า “เมื่อกองทัพยิง คือยิงเพื่อฆ่า” ไม่ได้ยิงเพื่อขู่ ซึ่งการกระทำของกองทัพก็เป็นอย่างนั้นมาโดยตลอด
29 กรกฎาคม 1988 นายพล เส่ง ลวิน ถูกแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดอำนาจของ เน วิน ทั้งผู้นำประเทศ และเป็นประธานพรรค BSPP ซึ่ง เส่ง ลวิน คือทหารผู้บัญชาการภารกิจปราบปรามนักศึกษาและผู้ชุมนุมประท้วง ทำให้ประชาชนยิ่งไม่พอใจ เกิดการประท้วงหยุดงานอย่างกว้างขวาง
6 สิงหาคม 1988 ผู้นำนักศึกษาประกาศว่าจะมีการประท้วงหยุดงานจะเกิดขึ้นในอีก 2 วัน เพื่อการชุมนุมใหญ่ที่ย่างกุ้ง
8 สิงหาคม 1988 ผู้ชุมนุมที่คาดว่ามีจำนวนถึง 1 ล้านคน นำโดยนักศึกษาจากองค์กรสหพันธ์นักศึกษาแห่งพม่า เข้ามาร่วมชุมนุมที่ย่างกุ้ง เกิดการประท้วงและหยุดงานทั่วประเทศ เพื่อประกาศไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองของทหาร และพรรค BSPP
รัฐบาลทหารพม่า นำโดย นายพลเส่ง ลวิน ผู้นำสูงสุดของประเทศขณะนั้น ได้ใช้กำลังทหารและตำรวจปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรงโดยใช้กระสุนจริง และเหมือนที่ เน วิน กล่าวไว้ ทหารยิงเพื่อฆ่า ทำให้การชุมนุมใหญ่ที่เริ่มต้นในวันที่ 8 สิงหาคม 1988 หรือ ‘8888’ (ชิต เล โลง) มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 ราย นักศึกษาจำนวนมากถูกจับกุม
12 สิงหาคม 1988 เหตุการณ์นองเลือดในครั้งนั้นทำให้ นายพล เส่ง ลวิน ต้องลาออกจากตำแหน่ง ดำรงตำแหน่งผู้นำเพียงประเทศ 14 วัน และไม่กี่วันถัดมา ดร.หม่อง หม่อง นักวิชาการพลเรือนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลทหาร ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดี แต่ประชาชนก็ยังเชื่อว่า กองทัพยังคงมีอำนาจอยู่เบื้องหลัง
24 สิงหาคม 1988 รัฐบาลประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก และสั่งให้ทหารถอนตัวออกจากย่างกุ้ง ต่อมานักโทษที่เคยถูกคุมขังในเรือนจำถูกปล่อยตัว
26 สิงหาคม 1988 ออง ซาน ซูจี บุตรสาวของ นายพล ออง ซาน บิดาแห่งประเทศพม่า ซึ่งเดินทางกลับมาเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล กล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกที่เจดีย์ชเวดากอง ต่อหน้าผู้คนประมาณ 500,000 คน
ออง ซาน ซูจี
การลุกฮือ 8888 จบลงที่การยึดอำนาจของ นายพล ซอว์ หม่อง และคณะทหารในนาม สภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบแห่งรัฐ (State Law and Order Restoration Council: SLORC) ที่เป็นการวางรากฐานอำนาจทหารให้หยั่งลึกกว่า เปลี่ยนชื่อประเทศจาก Burma เป็น Myanmar เปลี่ยนเมืองหลวงจาก Rangoon เป็น Yangon และเป็นคณะทหารที่ทำการจับกุมกักบริเวณ ออง ซาน ซูจี ขณะที่แนวทางการปิดประเทศยังคงดำเนินต่อไป ปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยม มีการละเมิดสิทธิ์ผู้ต่อต้านอย่างกว้างขวาง และชื่อของ ออง ซาน ซูจี ก็กลายเป็นคำต้องห้าม
อำนาจสูงสุดของประเทศเปลี่ยนมือจาก ซอว์ หม่อง มาสู่ นายพล ตัน ฉ่วย ในปี 1992 และ SLORC เปลี่ยนชื่อมาเป็น สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (State Peace and Development Council: SPDC) ในปี 1997 ที่ยังปกครองประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ โดยคนที่สืบทอดอำนาจจาก ตัน ฉ่วย เมื่อปี 2011 ก็คือ มิน อ่อง หล่าย ผู้ทำรัฐประหารในปี 2021
8888 ไม่ใช่ชัยชนะของประชาชน
ผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เมื่อ 8 สิงหาคม 1988 อาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในประเทศได้ และไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือมีแผนปฏิรูปกี่ครั้ง ทหารก็ยังอยู่ในอำนาจทางการเมืองเหมือนเดิม แม้จะเป็นยุครัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้ง คนของกองทัพก็ยังคงได้สัดส่วนที่นั่งในรัฐบาล ไม่เคยมีประชาธิปไตยของประชาชนเต็มร้อย
เหตุการณ์ 8888 จึงถูกเรียกว่าเป็น ‘การลุกฮือ’ (uprising) มากกว่า ‘การปฏิวัติ’ (revolution) เพราะการนองเลือดครั้งนั้นไม่ได้ทำให้ประชาชนชนะ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างใดๆ ผลของมันคือได้คณะทหารที่เปลี่ยนชื่อใหม่เข้ามาปกครองแทน ดังนั้น คำกล่าว ทหารและกองทัพพม่ามีลักษณะเฉพาะตัว ทหารคือผู้สร้างชาติ ผู้ปกครอง อำนาจของเผด็จการทหารจะอยู่คู่กับพม่าไปอีกนาน
และตั้งแต่ 8888 จนถึงวันนี้ ก็แทบจะยืนยันแล้วว่า วิธีการปกครองอันเป็นเอกลักษณ์ของทหารพม่า ไม่ห่างไกลจากคำกล่าวของ นายพล เน วิน ที่ว่า ทุกครั้งที่ทหารลั่นกระสุน เป็นการยิงเพื่อฆ่า ไม่ใช่การยิงเพื่อขู่
การเลือกตั้ง 2025 พิธีกรรมสืบทอดอำนาจ
มิน อ่อง หล่าย ประกาศว่า พม่าเตรียมจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายในเดือนธันวาคม 2025 แต่คงมีคนจำนวนไม่มากนักบนโลกนี้จะยอมรับได้ว่าพม่าสามารถจัดการเลือกตั้งได้สมบูรณ์แบบ หรือมีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ตามหลักการประชาธิปไตย และประชาชนทุกคนสามารถใช้สิทธิได้อย่างเท่าเทียม
คาดกันว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเป็นเพียงพิธีกรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับผู้นำทางทหารของพม่าสามารถอยู่ในอำนาจต่อไปโดยไม่ถูกนานาชาติประณามมากนัก
ข้อสังเกตถึงปัญหาที่จะทำให้การเลือกตั้งในพม่าไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่ใช่ทุกคนจะมีสิทธิลงคะแนน เช่น
1. การสำมะโนประชากรเมื่อปลายปีที่แล้วทำได้เพียง 145 จาก 330 เมืองทั่วประเทศ หรือคิดเป็นเพียง 43 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดเท่านั้น นั่นหมายความว่า ประชากรอีกกว่าครึ่งประเทศตกสำรวจ
2. การลงคะแนนเสียงคงไม่สามารถทำได้ครบทุกเขตพร้อมกันทั่วประเทศ กกต. พม่าแถลงว่า จะมีเพียง 267 เมืองจาก 330 เมืองหรือประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีเสถียรภาพและความปลอดภัยเพียงพอที่จะจัดให้มีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้
3. กองทัพพม่าสูญเสียพื้นที่ให้กับฝ่ายต่อต้านไปเป็นจำนวนมาก คาดว่าพื้นที่ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของประเทศตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายต่อต้าน
4. มีพรรคการเมือง 77 พรรคลงทะเบียนเพื่อสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยมี 54 พรรคได้รับการอนุมัติแล้ว ในจำนวนนี้มีเพียง 9 พรรคเท่านั้นที่ลงเลือกตั้งทั่วประเทศได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ที่มีกองทัพหนุนหลัง
5. กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มไม่สนใจเข้าร่วมการเลือกตั้ง โดยต้องการต่อสู้ด้วยอาวุธเพื่อปลดปล่อยพื้นที่ยึดครองและจัดตั้งระบบการบริหารเป็นของตนเอง
บทความต้นฉบับได้ที่ : 37 ปี การลุกฮือ 8888 การเลือกตั้งพม่า 2025 จะเป็นเพียงพิธีกรรมสืบทอดอำนาจ
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ASEAN POP MUSIC ชวนฟัง10 เพลงป๊อปจาก 10 ประเทศอาเซียน
- 37 ปี การลุกฮือ 8888 การเลือกตั้งพม่า 2025 จะเป็นเพียงพิธีกรรมสืบทอดอำนาจ
- “Everyone wants to be us.” แม้จะผ่านมาเกือบ 20 ปี ทำไมเรายัง ‘อิน’ The Devil Wears Prada เสมอ
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath