พรรคประชาชน เปิดงบ รถประจำตำแหน่งนายทหารระดับสูง ทะลุ 240 ล้าน
13 ส.ค. 2568 นายเชตวัน เตือประโคน สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน ร่วมอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 วาระ 2 ในมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม โดยตั้งข้อสังเกตงบประมาณที่ใช้ไปกับค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนรถประจำตำแหน่งของนายทหาร กับงบประมาณที่กองทัพใช้ไปกับการจัดซื้อหายุทโธปกรณ์เพื่อดูแลสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ของกองทัพบก
นายเชตวัน กล่าวว่า เรื่องรถประจำตำแหน่ง สำหรับทหารระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวง รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พอที่จะเข้าใจได้ ท่านมีภารกิจเยอะแยะมากมาย ต้องเดินทางไปนั่นมานี่ เพื่อความสะดวกก็ต้องมีรถ มีคนขับ โดยก่อนหน้านี้มีรถประจำตำแหน่งให้กับระดับปลัดกระทรวง อธิบดี รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเทียบเท่ากับอธิบดี ต่อมารัฐราชการก็เติบโตขยายใหญ่ เพิ่มรถประจำตำแหน่งให้กับระดับรองอธิบดีด้วย
ลำพังในส่วนราชการ กระทรวงต่างๆ 20 กระทรวง มีปลัดกระทรวงละ 1 คน มีอธิบดีและรองอธิบดีแต่ละกรม รวมแล้วก็น่าจะอยู่ที่ราวๆ 200 คน แต่ปัญหามันอยู่ที่พอไปเทียบกับกองทัพ ปริมาณคนที่จะได้รถประจำตำแหน่งมันจะเยอะมาก คือ
พลโท, พลเอก = ปลัดกระทรวง
พลตรี = อธิบดี (ผู้ว่าราชการจังหวัด, อธิการบดีมหาวิทยาลัย)
พันเอกพิเศษ = รองอธิบดี
นายเชตวัน กล่าวต่อว่า ตรงนี้ในส่วนของนายทหารระดับพันเอกพิเศษที่มีตำแหน่งเทียบเท่าระดับ “รองเจ้ากรม” นั้น แต่ละเหล่าทัพทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองบัญชาการกองทัพไทย สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม มันมีอยู่เยอะมาก ๆ เทียบกันไม่ได้ ห่างกันลิบลับกับส่วนราชการทั่วไป
จำนวนนายทหาร รวมถึงข้าราชการที่อยู่ในชั้นที่จะได้รถประจำตำแหน่งนั้น ในช่วงอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งก็เห็นว่ามันเป็นภาระ ที่รัฐต้องซ่อมรถเหล่านี้ให้ท่านๆ เหล่านั้นด้วย ดังนั้น จึงมีการปรับเปลี่ยนเป็นค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง คือ ไม่ต้องเอารถประจำตำแหน่งแล้ว เอาเงินแต่ละเดือนไปเลยโดยอัตราคือ พลโท - พลเอก จำนวน 41,000 บาท, พล.ต. 31,800 บาท และพันเอก พิเศษ 25,400 บาท
ตรงนี้ เรายืนยันมาตลอดว่า คือ "เงินกินเปล่า เงินเข้ากระเป๋า" ที่เคยมาในรูปแบบของรถประจำตำแหน่ง ซึ่งเป็นอภิสิทธิ์อย่างหนึ่งที่วันนี้ ควรออกระเบียบยกเลิกไปได้แล้ว ถ้าจะบอกว่าต้องใช้รถ คนระดับนี้มีรถของกรม มีรถของหน่วยงานอยู่แล้ว เรียกใช้อย่างไรก็มีรถให้ มีคนขับรถขับไปส่ง ดังนั้นจะมีเงินกินเปล่า มีเงินติดกระเป๋าในนามของค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่งอีกเพื่ออะไร
ในปีงบประมาณ พ.ศ.2569 เฉพาะของกองทัพบก มีรายการค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง จำนวน 240,393,600 บาท ยอดนี้มาจากจำนวนนายทหาร และแต่ละระดับชั้นรวม 694 นาย ซึ่งโครงการนี้ในเอกสารระบุผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ กำลังพล ทบ. ได้รับสิทธิกำลังพลขั้นพื้นฐานตามระเบียบของกระทรวงการคลัง ซึ่งตรงนี้ไม่เถียง หากแต่ระเบียบที่เป็นอภิสิทธิ์แบบนี้มันแก้ไขได้ ยิ่งในสถานการณ์บ้านเมืองที่มีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาแบบนี้ด้วย ไม่ละอายใจเลยเหรอ
เพราะถ้าเราไปดูเทียบกับการจัดหายุทโธปกรณ์เพื่อใช้ในภารกิจป้องกันชายแดนของกองทัพบกนั้น จัดงบประมาณน้อยกว่าค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง เสียอีก ใช้เงิน 150 ล้าน จากการจัดหาเพียงแค่ 3 รายการ คือ ระบบโดรนตรวจตรา 1 ระบบ ใช้ที่ผามออีแดง ปราสาทพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ, อีก 1 ระบบ ใช้ที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์และมีระบบบัญชาการอีก 1 ระบบ ที่กองบัญชาการกองทัพบก คำถามคือแค่อย่างละ 1 ระบบเองเหรอ ในสถานการณ์เช่นนี้
หรือแม้แต่โครงการจัดหาสิ่งอุปกรณ์ของหน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิด กรรมสรรพาวุธ ที่จะทำให้ทหารชั้นผู้น้อยไม่ต้องไปเสี่ยงภัย ก็จัดหาหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด แค่ชุดเดียว เครื่องเอ็กซเรย์แบบเคลื่อนที่ ควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ ก็จัดหาแค่ 1 เครื่อง
ยิ่งได้มาเห็นข่าวรับบริจาคด้วยแล้ว ตนรู้สึกว่ามันคือชีวิตที่เป็นขั้วตรงข้ามกันเลยของทหารระดับสูง กับ ทหารชั้นผู้น้อย ซึ่งรถหรู-ค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนรถหรู เป็นสิ่งที่รัฐจัดสรรให้นาย ส่วนข้าวของ อุปกรณ์ ยุทโธปกรณ์ ที่ทหารชั้นผู้น้อยจำเป็นต้องใช้ เป็นสิ่งที่ต้องเปิดรับบริจาค อย่างที่เป็นข่าวเป็นคราวล่าสุด กรณีของ “ลวดหนามหีบเพลง” หลังจากมีดราม่าเรื่องรับบริจาค กองทัพบกก็ออกมาชี้แจงว่ามีเงินมีงบฯ แต่เพราะความจำเป็นเร่งด่วนทันที ก็เลยต้องขอรับการสนับสนุน
จากคำชี้แจงนี้ ก็เข้าเงื่อนไขจัดซื้อเร่งด่วนได้สิ ถ้ามูลค่าไม่ถึง 5 แสนบาท ก็ใช้วิธีเฉพาะเจาะจงได้เลย ส่วนเรื่องบประมาณ โดยปกติหน่วยงานก็มีงบฯ กลาง มีงบฯ ฉุกเฉินอยู่แล้ว นำมาใช้ได้ แต่ที่เห็นรับบริจาคอยู่นี้ คืออะไรกัน เป็นที่น่าอนาถามาก เราจะอยู่กันแบบนี้ จริงๆ เหรอครับ ตัดได้อีกค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนรถุประจำตำแหน่ง