Walt Disney รุกตลาดกีฬาเพิ่ม ชดเชยทีวี-หนัง ไม่สดใส
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 08 ส.ค. เวลา 13.39 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้น Walt Disney (DIS US, DISNEY19 TB) ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรทั้งปี หลังไตรมาสล่าสุดกำไรดีกว่าคาด หนุนจากธุรกิจ สตรีมมิ่งและดีลใหญ่กับ NFL–WWE
- Walt Disney รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ 2025 (สิ้นสุดกันยายน 25) ที่ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด พร้อมประกาศปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรทั้งปี สะท้อนการเติบโตของธุรกิจสตรีมมิ่งที่กลายเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ในอนาคต โดยมีการเปิดเผยดีลสำคัญกับ NFL และ WWE ในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนรายงานผลประกอบการ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเสริม ความแข็งแกร่งให้บริการสตรีมกีฬา ESPN ที่เตรียมเปิดตัวในราคา $29.99 ต่อเดือน
- Disney เผยกำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ $1.61 เพิ่มขึ้น 16% YoY (ดีกว่าคาด 10.4%) โดยบริการสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ และHulu ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การเติบโต โดยมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านราย รวมเป็น 183 ล้านราย ส่งผลให้รายได้กลุ่ม Direct-to-Consumer เพิ่มขึ้น 6% และพลิกกลับมามีกำไรจากเดิมที่ขาดทุน $19 ล้านในปีก่อน เป็นกำไร $346ล้านในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะเพิ่มสมาชิกได้อีก 10 ล้านรายในไตรมาสปัจจุบัน ส่วนใหญ่มาจากการขยายความร่วมมือกับผู้ ให้บริการเคเบิล Charter ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการ Disney+ และ Hulu ได้มากขึ้น
- ในฝั่งของเนื้อหากีฬา ESPN บริษัทประกาศดีลร่วมกับ NFL ซึ่งนอกจากจะให้สิทธิ์การถ่ายทอดเกม NFL แล้ว NFL ยังจะเข้าถือหุ้น 10% ในเครือข่าย ESPN ด้วย (แม้จะไม่มีการเปิดเผยมูลค่าดีลก็ตาม) ขณะเดียวกัน Disney ยังคว้าสิทธิ์ถ่ายทอดรายการมวยปล้ำระดับโลกอย่าง WrestleMania และ Royal Rumble จาก WWE เข้ามาในแพลตฟอร์มใหม่ที่เตรียมเปิดตัว 21 สิงหาคมนี้
- Bob Iger ซีอีโอของ Disney ระบุว่าการเปิดตัวแอป ESPN, ข้อตกลงกับ NFL และการควบรวม Hulu เข้ากับ Disney+ จะช่วยสร้างข้อเสนอการสตรีมที่แตกต่างอย่างแท้จริง และเป็นรากฐานใหม่ของ Disney ในยุคที่ผู้ชมทีวีแบบดั้งเดิมลดลงเรื่อย ๆ
- ด้านธุรกิจสวนสนุกและเรือสำราญยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 13% อยู่ที่ $2.5 พันล้าน(ดีกว่าคาด 3.0%) ขณะที่สวนสนุกในออร์แลนโด (Walt Disney World) ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้จะมีคู่แข่งรายใหม่อย่าง Universal’s Epic Universe เปิดตัวเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม แต่ Disney ยังสามารถดึงดูดผู้เข้าชมให้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้ ส่งผลให้กำไรการดำเนินงานจากสวนสนุกในสหรัฐฯ เติบโตถึง 22% YoY
-ธุรกิจบันเทิงซึ่งรวมถึงภาพยนตร์และโทรทัศน์มีกำไรจากการดำเนินงานลดลง 15% YoY เหลือ $1 พันล้าน สาเหตุหลักมาจากรายได้จากทีวีแบบเดิมที่ลดลง และฐานเปรียบเทียบที่สูงจากความสำเร็จของ Inside Out 2 ในปีก่อนหน้า
- ในส่วนของกลุ่มกีฬา กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 29% เป็น $1 พันล้าน แม้ว่า ESPN ในประเทศจะมีกำไรลดลง 3% จากต้นทุนด้านเนื้อหาและการผลิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากค่าลิขสิทธิ์ NBA และการแข่งขันระดับมหาวิทยาลัย
- สำหรับทั้งปีงบประมาณ Disney ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นมาอยู่ที่ $5.85 จากเดิม $5.75 โดย Hugh Johnston ซีเอฟโอของบริษัทกล่าวว่า Disney ยังมีแผนลงทุนอย่างต่อเนื่องในทุกธุรกิจ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตในระยะยาว โดย Iger ปิดท้ายว่า “เรายังไม่หยุดแค่ตรงนี้ และรู้สึกตื่นเต้นกับอนาคตของ Disney”
ฝ่ายกลยุทธ์ฯ ยังคงมุมมองบวกและแนะนำเก็งกำไรสำหรับหุ้น Disney
แม้ราคาหุ้นจะอ่อนตัวหลังการประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุด สะท้อนแรงกดดันจากธุรกิจโทรทัศน์แบบดั้งเดิม (Linear TV) ที่ยังอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม เราเห็นสัญญาณชัดเจนว่าความอ่อนแอดังกล่าวกำลังถูกทดแทนด้วยโครงสร้างธุรกิจใหม่ที่แข็งแรงขึ้น โดยมีการรวมบริการสตรีมมิ่งทั้งหมดไว้ในแพลตฟอร์มเดียว พร้อมรุกตลาดกีฬา Live ผ่าน ESPN ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในจุดขายหลักของบริการที่เตรียม
เปิดตัวในราคา $29.99 ต่อเดือน
- Disney แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการเชิงกลยุทธ์ที่เด่นชัด โดยเฉพาะธุรกิจ Direct-to-Consumer ที่ไม่เพียงกลับมาทำกำไรได้อย่างมั่นคง แต่ยังเตรียมเปิดตัว ESPN streaming และรวม Hulu กับ Disney+ เป็นแอปเดียวในราคาที่แข่งขันได้ การจับมือกับNFL และ WWE ทำให้ Disney กลายเป็นผู้เล่นหลักในสมรภูมิเนื้อหากีฬา ซึ่งจะเป็นเสาหลักใหม่ในการสร้างรายได้และขยายฐานสมาชิก
-ธุรกิจสวนสนุกและเรือสำราญยังเป็นจุดแข็ง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ทำให้กระแสเงินสดและกำไรจากการดำเนินงานยังอยู่ในระดับแข็งแกร่ง แม้ธุรกิจภาพยนตร์และทีวีจะยังเผชิญแรงกดดัน แต่ฝ่ายกลยุทธ์ฯ เชื่อว่าการเติบโตของสตรีมมิ่งและกีฬา จะสามารถชดเชยได้ในระยะกลางถึงยาว
- โดยรวม เรามองว่า Disney กำลังพลิกโฉมสู่โมเดลธุรกิจที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ และมีเครื่องมือครบมือในการสร้างความได้เปรียบระยะยาว ขณะที่จุดอ่อนเดิมอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้าง จึงยังคงคำแนะนำเก็งกำไรโดยใช้การอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ
ความเสี่ยงที่ต้องระวัง 1) ธุรกิจ Linear TV ยังหดตัวต่อเนื่อง 2) การแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งรุนแรง 3) ต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ยังอยู่ในระดับสูง 4) ภาวะเศรษฐกิจโลกและผู้บริโภคที่ระมัดระวังมากขึ้น