STA ประเมินดีมานด์ยางธรรมชาติรับสัญญาณบวกจากความชัดเจน Tariff
บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (“STA” หรือ “บริษัทฯ”) ประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมยางธรรมชาติครึ่งปีหลังรับแรงหนุนจากดีมานด์ในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังมีความชัดเจนของอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่ทยอยประกาศแล้วหลายประเทศ มุ่งผลักดันผลการดำเนินงานกลับมาทำกำไรและโมเมนตัมที่ดีของถุงมือยางในครึ่งปีหลังของปีนี้ หลังไตรมาส 2/2568 ทำรายได้จากการขายและบริการ 30,841 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีผลขาดทุนจากผลกระทบมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ราคายางปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วถึงราว 20% หลังการประกาศ รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ทั่วโลกก็ปรับลดลงเช่นกัน ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่บริษัทฯ ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจด้วยประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนที่ดีและเสริมประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
นายวีรสิทธิ์สินเจริญกุลกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรีจำกัด(มหาชน) หรือSTA
ผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมยางธรรมชาติครึ่งปีหลังคาดว่ามีความต้องการใช้ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น หลังจากมีความชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา (US Reciprocal Tariff) ที่ทยอยได้ข้อสรุปกับหลายประเทศแล้ว ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ วางแผนธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของบริษัทฯ
ขณะที่ข้อสรุปอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ที่ 19% นั้น เป็นระดับเดียวกันกับประเทศผู้ผลิตถุงมือยางรายอื่นในอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ทำให้บริษัทฯ ไม่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และคงสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดโลก โดยบริษัทฯ วางแผนขยายตลาดยางธรรมชาติและถุงมือยางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโต โดยเฉพาะธุรกิจถุงมือยางของบริษัทฯ ในครึ่งปีหลังของปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นผลักดันผลการดำเนินงานกลับมาทำกำไรในครึ่งปีหลัง จากการมุ่งเน้นประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามคือสถานการณ์ราคายางธรรมชาติในตลาดโลกที่อ่อนตัวลงตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 และยังคงมีแนวโน้มผันผวน
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 30,841.4 ล้านบาท และปริมาณการขายยางธรรมชาติรวม 397,461 ตัน เพิ่มขึ้น 0.1% จากไตรมาสก่อน และ 20.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากธุรกิจถุงมือยาง 5,970.1 ล้านบาท ลดลง 8.4% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 5.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นปริมาณการขายถุงมือยาง 9,091 ล้านชิ้น ลดลงเล็กน้อย 1.1% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากลูกค้าบางส่วนชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอความชัดเจนของภาษีศุลกากรสหรัฐฯ แต่เพิ่มขึ้น 7.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการฟื้นตัวของดีมานด์ทั่วโลก
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกปี 2568 มีรายได้จากการขายและบริการ 65,226.5 ล้านบาท และปริมาณการขายยางธรรมชาติรวม 794,416 ตัน เพิ่มขึ้น 31.8% และ 22.7% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงมีอีบิทด้า (EBITDA) 647.6 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการขายถุงมือยาง 12,490.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนปริมาณการขายอยู่ที่ 18,282 ล้านชิ้น ลดลงเล็กน้อย 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความกังวลภาษีศุลากรสหรัฐฯ แต่ชดเชยด้วยราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาขายยางธรรมชาติได้รับแรงกดดันจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยไตรมาส 2/2568 ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลต่ออัตรากำไร ทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2/2568 และ 6 เดือนแรกปี 2568 ที่ 786.8 ล้านบาท และ 98.1 ล้านบาท ตามลำดับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- โชว์ผลงานส่งออกสินค้าเกษตรบนเวทีโลก
- กยท.เดินหน้าพัฒนาองค์กรขับเคลื่อนนโนยายรัฐบาล ชิงความได้เปรียบ EUDR ชี้นำราคายางโลก มั่นใจสิ้นปี ราคาทะลุ 3 หลัก
- รัฐไฟเขียว 4 มาตรการอุ้มราคายาง | ย่อโลกเศรษฐกิจ
- "ราคายาง" สูงสุดในรอบ 12 ปี ทะยานแตะ 96.66 บาท/กิโลกรัม
- ปราบปรามลักลอบขนยางเถื่อนแนวชายแดน 1 ในปัจจัย ‘ราคายาง’ ในประเทศเพิ่มขึ้น