ในสายตาทรัมป์ ไทยและกัมพูชา ใครสำคัญกว่ากัน ?
หัวข้อในเนื้อหานี้
- ประเด็นแรก กัมพูชาสำคัญแค่ไหนในสายตาทรัมป์
- ประเด็นที่สอง ยุทธศาสตร์การดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวก
- ประเด็นที่สาม การเดินเกมปรับดุลอำนาจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล
- ประเด็นที่สี่ แหล่งพลังงาน คือ ‘ตัวแปร’ ในเกมภูมิรัฐศาสตร์อ่าวไทย
- ประเด็นสุดท้าย ความสำคัญของไทยจะลดลงในสายตาสหรัฐฯ หรือไม่
ทำไมสหรัฐอเมริกาถึงยื่นมือเข้ามามีบทบาทในความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ สหรัฐฯ คาดหวังผลประโยชน์อะไรกันแน่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เข้ามาเล่นบท ‘นายใหญ่’ สั่งการและข่มขู่ด้วยมาตรการภาษีสุดโหด เพื่อให้ทั้งคู่หยุดยิง
นอกจากจะทำเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของการเป็น ‘ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ’ ตามที่ทรัมป์ประกาศยกย่องตัวเอง (รางวัลโนเบลสันติภาพคือ ความฝันใหญ่ของทรัมป์) แท้จริงแล้ว จะมี ‘เหตุผลอื่น’ แอบแฝงอยู่อีกหรือไม่ กัมพูชาสำคัญแค่ไหนในสายตาทรัมป์ และโดยเปรียบเทียบแล้ว ไทยยังคงมีความสำคัญเหมือนเดิมหรือไม่ บทความนี้จะมาวิเคราะห์ในแต่ละประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก กัมพูชาสำคัญแค่ไหนในสายตาทรัมป์
เมื่อมองผ่านเลนส์ภูมิรัฐศาสตร์ และการแข่งขันอิทธิพลกับจีน กัมพูชามีความสำคัญมากขึ้นในสายตาของทรัมป์ ที่ผ่านมากัมพูชามีความใกล้ชิดกับจีนอย่างแนบแน่น และแม้ว่ากัมพูชาจะเป็นรัฐขนาดเล็ก หากแต่มีทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์อ่าวไทย สามารถใช้เป็นจุดรองรับกำลังเรือและเชื่อมระบบขนส่งไปทะเลจีนใต้ รวมทั้งการเป็นแหล่งพลังงานทางทะเล สำหรับทรัมป์จะเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงมากกว่าประเด็นประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน จึงมีนโยบายต่อกัมพูชาที่แตกต่างกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยก่อนหน้า
จีนเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและด้านพลังงานในกัมพูชาหลายโครงการ รวมทั้งท่าเรือเรียมที่สามารถใช้เป็นฐานทัพเรือในการใช้ควบคุมเส้นทางเดินเรือ และใช้เพื่อปฏิบัติการทางทหารในอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ สหรัฐฯ จึงมองว่าการลงทุนของจีนในกัมพูชาเหล่านี้จะนำไปสู่ ‘การครอบงำเชิงโครงสร้าง’ (Structural Dominance) ของจีนในภูมิภาค หากปล่อยให้จีนครอบงำกัมพูชาเต็มที่ จะทำให้จีนมีฐานทัพหรือศูนย์ปฏิบัติการทางทหารในอ่าวไทย ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ และพันธมิตร
การเข้าหากัมพูชาของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จึงเป็นการเจาะฐานอิทธิพลของจีน เพื่อลดความเสี่ยงและสกัดกั้นไม่ให้จีนผูกขาดจุดยุทธศาสตร์ด้านทะเลและพลังงานในภูมิภาคนี้
นอกจากนี้ แม้ว่ากัมพูชาจะเป็นแหล่งสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่เหตุผลที่ทรัมป์ยังคงสร้างสัมพันธ์กับกัมพูชา เนื่องจากผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจมีน้ำหนักมากกว่าปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทรัมป์จึงเลือกจัดการแต่ละปัญหาแบบ ‘แยกส่วน’ ออกจากประเด็นการเมืองและความมั่นคง เพื่อไม่ให้เสียโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ ตราบใดที่กัมพูชายังมีคุณค่าทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ ทรัมป์ก็พร้อมที่จะคบหาด้วย แม้ภาพลักษณ์ของกัมพูชาในบางมิติจะเป็นลบ
ทรัมป์มองว่า การยกระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชาเป็นเรื่อง ‘เกมใหญ่’ ระหว่างมหาอำนาจ ส่วนประเด็นประชาธิปไตย รวมถึงสิทธิมนุษยชนหรือปัญหาสแกมเมอร์ ถือเป็นเพียง ‘เกมย่อย’ ที่จัดการได้ในภายหลัง
ประเด็นที่สอง ยุทธศาสตร์การดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวก
ภัยคุกคามอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ คือ ‘จีน’ สหรัฐฯ จึงใช้แนวทาง ‘การทูตปิดล้อม’ (Encirclement Diplomacy) ผ่านการสร้างเครือข่ายพันธมิตรปิดล้อมจีน เพื่อโดดเดี่ยวจีนหรือจำกัดอิทธิพลของจีน และความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในครั้งนี้เช่นกัน ก็เพื่อดึงกัมพูชาออกจากการครอบงำของจีน
การเดินเกมของทรัมป์เพื่อดึงกัมพูชาออกจากวงโคจรของจีน ด้วยการใช้ ‘ยุทธศาสตร์การดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวก’ (หรือการทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียพันธมิตร) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองและการทหารที่มุ่งลดทอนอำนาจของคู่แข่ง โดยการโน้มน้าวหรือบีบให้พันธมิตรของฝ่ายคู่แข่งสลับขั้วเปลี่ยนข้าง กลยุทธ์นี้อาจจะดำเนินการได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับบริบทและสถานการณ์ ทั้งในทางการทูต เศรษฐกิจ หรือแม้แต่การสงครามจิตวิทยา การที่สหรัฐฯ เข้าใกล้กัมพูชาที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดจีน ก็เพื่อส่งสัญญาณว่า จีนไม่สามารถผูกขาดอิทธิพลในกัมพูชาได้อีกต่อไป
รัฐบาลทรัมป์พร้อมที่จะ ‘ทำดีล’ (Deal-Making) ผ่านเครื่องมือทางการค้าและความมั่นคง เพื่อที่จะดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวก ในกรณีของกัมพูชา ทรัมป์ใช้วิธีการข่มขู่ว่าจะไม่เจรจาภาษีด้วย หากไม่ยอมหยุดยิงกับไทย และเมื่อกัมพูชายอมหยุดยิง ทรัมป์ก็ให้รางวัลด้วยการลดอัตราภาษีลงจากร้อยละ 49 เหลือร้อยละ 19 และทรัมป์ก็อาจจะแถมรางวัลพิเศษให้กัมพูชา เช่น การให้ความช่วยเหลือทางทหาร จากการที่กัมพูชาเป็น “เด็กดีและอวยเก่ง” ด้วยการเสนอชื่อทรัมป์เข้ารับรางวัลโนเบลสันติภาพ และการขึ้นภาพสรรเสริญเยินยอทรัมป์ติดบิลบอร์ดใหญ่ทั่วกรุงพนมเปญ
การที่ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ จะไปเยือนกัมพูชา ยังสะท้อนนัยเชิงสัญลักษณ์ว่า กัมพูชาจะไม่ถูกสหรัฐฯ เมินอีกต่อไป จากเดิมที่กัมพูชาถูกจัดอยู่ใน ‘วงนอก’ เพราะความใกล้ชิดจีน และทรัมป์ยังต้องการส่งสารตรงไปยังปักกิ่ง เพื่อให้เห็นว่า สหรัฐฯ พร้อมลงเล่นในเขตอิทธิพลของจีน
รมต.กลาโหมของสหรัฐฯ จะไปเยือนกัมพูชาในช่วงเวลาที่กัมพูชาจะเปิดฐานทัพเรือเรียม เพื่อให้เรือรบสหรัฐฯ เดินทางเข้าเทียบท่าเป็นครั้งแรก สหรัฐฯ และกัมพูชาอาจจะตกลงทำความร่วมมือทางทหารในรูปแบบต่างๆ ทั้งการฝึกร่วม การฝึกเจ้าหน้าที่ ไปจนถึงการให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อให้กัมพูชามีทางเลือกอื่นนอกจากจีน/ลดการผูกขาดของจีน
นอกจากนี้ ในวาระครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตสหรัฐฯ-กัมพูชา ยังมีกิจกรรมต่างๆ ระหว่างกองทัพกัมพูชาและสหรัฐฯ ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วย เช่น คณะผู้แทนกองทัพกัมพูชา นำโดย ฮุน มานิต (น้องชายฮุน มาเนต) เดินทางไปเยือนกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ (United States Indo-Pacific Command : USINDOPACOM) เป็นต้น
ประเด็นที่สาม การเดินเกมปรับดุลอำนาจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล
ในมุมมองด้านความมั่นคง พื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเลมักจะเป็นสมรภูมิแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ การขยับของสหรัฐฯ ผ่านการผูกสัมพันธ์กับกัมพูชามากขึ้น จึงเป็น ‘การปรับดุลอำนาจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล’ (Balance of Influence in Strategic Littoral Zones) และสะท้อนว่า มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จะไม่ยอมปล่อยให้พื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเลอย่างอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ ตกอยู่ในอิทธิพลของจีนแต่เพียงฝ่ายเดียว
โดยเฉพาะฐานทัพเรือเรียม ในจังหวัดพระสีหนุ นอกจากจะมีความสำคัญทางเศรษฐกิจต่อกัมพูชาแล้วยังเป็นหนึ่งในหมากสำคัญในเกมภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การที่จีนมาช่วยกัมพูชาพัฒนาท่าเรือแห่งนี้ ย่อมส่งผลกระทบระยะยาวต่อความมั่นคง และดุลอำนาจในภูมิภาค
รัฐบาลทรัมป์จึงเลือกกัมพูชาเป็น ‘ฐานยุทธศาสตร์ใหม่’ ของสหรัฐฯ ในอินโดจีน เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ด้านความมั่นคง ในขณะที่รัฐบาลกัมพูชาภายใต้ฮุน มาเนต ก็พร้อมตอบสนองความต้องการของสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ (ยอมหักหลังจีน สลับขั้วมาคบกับสหรัฐฯ)
การขยับของมหาอำนาจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล จึงมีกัมพูชาเป็น ‘ตัวแปร สำคัญ’ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการค้าโลก ทรัพยากรธรรมชาติ และเสรีภาพในการเดินเรืออีกด้วย
ข้อน่ากังวลคือ พื้นที่ Strategic Littoral Zones เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความเปราะบางสูง การรักษาดุลอำนาจในพื้นที่ทางทะเลนี้ จำเป็นต้องอาศัยความสมดุลระหว่าง ‘การป้องปราม’ (Deterrence) และ ‘ความร่วมมือ’ (Cooperation) และควรใช้กฎหมายระหว่างประเทศและ ‘การทูตพหุภาคี’ เป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความขัดแย้ง แน่นอนว่า ความสำเร็จของการบริหารพื้นที่ Littoral อย่างยั่งยืนจะเป็นปัจจัยชี้วัดเสถียรภาพของระเบียบโลกในอนาคตด้วย
ที่สำคัญ สหรัฐฯ อาจจะเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนกัมพูชาในการอ้างสิทธิ์ทางทะเลซ้อนทับ เกาะกูดไทย-กัมพูชา หรือการสนับสนุนกัมพูชา (ในทางลับ) ผ่านกลไกกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น การยื่นฟ้องต่อศาลระหว่างประเทศ
ประเด็นที่สี่ แหล่งพลังงาน คือ ‘ตัวแปร’ ในเกมภูมิรัฐศาสตร์อ่าวไทย
ในยุคทรัมป์ พลังงานและความมั่นคงถูกมองเป็นเรื่องเดียวกัน แหล่งพลังงานในอ่าวไทย ทำให้กัมพูชามีความสำคัญในสายตาของสหรัฐฯ การควบคุมแหล่งพลังงานหรือเส้นทางการขนส่งพลังงานสามารถสร้างอำนาจต่อรองและอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ พลังงาน คือ “อาวุธในศตวรรษที่ 21” เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ประเทศใดที่ควบคุมพลังงานได้ มักมีอำนาจต่อรองสูงการแย่งชิงพลังงานจึงเป็น ‘แกนกลาง’ ของความขัดแย้งในหลายครั้ง
ที่ผ่านมา บริษัทพลังงานของสหรัฐฯ และชาติตะวันตก สนใจเข้ามาลงทุนสำรวจและผลิตพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย–กัมพูชา (Overlapping Claims Area – OCA) ที่มีพื้นที่ทับซ้อนกว่า 27,960 ตารางกิโลเมตรและมีการประเมินว่า เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบขนาดใหญ่ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากติดปัญหาการเจรจาเขตแดนฯ ทรัมป์จึงมองว่า หากไทย–กัมพูชาเจรจากันได้สำเร็จ จะเปิดโอกาสให้บริษัทสำรวจพลังงานของอเมริกันเข้ามาแข่งขันกับบริษัทของจีนได้มากขึ้น
โดยเฉพาะรัฐบาลทรัมป์ที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางธุรกิจเป็นอย่างมาก และเน้นนโยบาย ‘Energy Dominance’ ทำให้มองว่า หากสหรัฐฯ สามารถเข้าถึงทรัพยากรพลังงานในอ่าวไทย โดยมีฝ่ายกัมพูชามาเป็นพวก หรืออาจจะเสนอดีลแบบ 3 ฝ่าย (ไทย–กัมพูชา–สหรัฐฯ) เพื่อเร่งการพัฒนาร่วมกัน ก็จะลดโอกาสที่จีนจะเข้ามาผูกขาดแหล่งพลังงานในอ่าวไทยนี้ลงด้วย
ประเด็นสุดท้าย ความสำคัญของไทยจะลดลงในสายตาสหรัฐฯ หรือไม่
ในมุมมองทรัมป์ ไทยคือพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯ ในฐานะ Major Non-NATO Ally มีการทำสนธิสัญญาพันธมิตร (Treaty Ally) และมีความร่วมมือทางการทหาร และการฝึกร่วม Cobra Gold มาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น รัฐบาลทรัมป์อาจจะมองว่า ไทยมี ‘ความมั่นคง’ ในการอยู่ฝั่งสหรัฐฯ อยู่แล้ว ไทยไม่น่าจะ ‘หลุดมือ’ ไปอยู่ฝั่งจีนอย่างเต็มตัวสหรัฐฯ จึงไม่จำเป็นต้องทุ่มเทให้มากเท่าพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่จีนมีอิทธิพลสูงอย่างกัมพูชา การเข้าใกล้กัมพูชา จึงเป็นการมุ่งเจาะ ‘ฐานอิทธิพลของจีน’ มากกว่าการที่กัมพูชาจะมาแทนที่ความสำคัญของไทย
อย่างไรก็ดี ทรัมป์ชอบที่จะทำดีลในแต่ละเรื่องเพื่อผลประโยชน์ (Transactional Diplomacy) มากกว่าจะเน้นรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวแบบผูกพันถ้าฝ่ายกัมพูชามีข้อเสนอการทำดีลที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนสหรัฐฯ อย่างชัดเจน (เช่น การให้ผลประโยชน์สหรัฐฯ มากกว่าจีน หรือการเปิดให้สหรัฐฯ เข้ามาใช้ฐานทัพในกัมพูชา) รัฐบาลทรัมป์ก็พร้อมจัด Priority ให้ความสำคัญกับกัมพูชาเป็นอันดับต้น แม้จะมีความเสี่ยงที่จะกระทบความสัมพันธ์กับไทยในระยะยาว สำหรับทรัมป์ เป้าหมายหลัก คือ การดึงกัมพูชาออกจากจีน มากกว่าที่จะกังวลเรื่องความรู้สึกของไทย
โดยสรุป สหรัฐเข้ามามีบทบาทแฝงในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ด้านต่างๆ ของตัวเอง และใช้กัมพูชาเป็น ‘ตัวแปร’ เพื่อการแข่งขันอิทธิพลกับจีนในภูมิภาค สำหรับทรัมป์ กัมพูชาไม่ใช่เป็นเพียงรัฐขนาดเล็ก แต่จะเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง การทหาร และแหล่งพลังงานทางทะเล ทางฝ่ายกัมพูชาก็เดินเกมเสี่ยงยอมหักจีน เพื่อเอาใจทรัมป์ สะท้อนว่า ความสัมพันธ์สหรัฐฯ กับกัมพูชาน่าจะใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และพร้อมทำดีลในรูปแบบต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของกันและกันทำให้น่านน้ำอ่าวไทยและแหล่งพลังงานในทะเล จะทวีความสำคัญในสมรภูมิของภูมิรัฐศาสตร์ในระดับโลก
นอกจากนี้ นัยสำคัญจากการที่ รมต.กลาโหมของสหรัฐฯ จะไปเยือนกัมพูชา หลังจากที่ได้ผลักดันการหยุดยิงผ่านแรงกดดันทางการค้า อาจจะมีการ ‘ต่อยอด’ บทบาทเพื่อสันติภาพ ไปสู่การสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับกัมพูชา และเพื่อส่งสัญญาณถึงประเทศอื่นๆ ว่า การเข้าใกล้สหรัฐฯ สามารถให้ ‘ผลลัพธ์ที่จับต้องได้’ ทั้งในมิติความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเทศขนาดเล็กที่อยู่ในวงอิทธิพลจีนนั่นเอง