เร่งยุติ! ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ยิ่งช้า-ยิ่งเสียหาย! เศรษฐกิจเสียหายพังทะลุแสนล้าน
ปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่จะมีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย ที่เวลานี้ขึ้นอยู่กับว่าจะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้น แม้จะมีการเจรจา 3 ฝ่าย แต่ก็ยังไม่มีท่าทีที่จะยุติปัญหาลงได้
ทั้งนี้หากประเมินเบื้องต้นตั้งแต่เริ่มอพยพประชาชนในพื้นที่ สถานการณ์น่าจะดำเนินมาหลักสัปดาห์ ถ้าประเมินแบบเร็ว ๆ ไม่นับรวมผลกระทบทางการค้าก็น่าจะอยู่ที่ราว 1 หมื่นล้าน แต่หากปิดด่าน 3 เดือน ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวแต่ไม่ถึงขั้นเสียหายถาวร มูลค่าการค้าชายแดนอาจหายไป 45,000-50,000 ล้านบาท ภาคธุรกิจต้องเร่งส่งสินค้าทางเรือ ซึ่งมีต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-25 ส่งผลกระทบหนักต่อผู้ประกอบการ SMEs
และปิดด่าน 6 เดือน ทำให้ธุรกิจเริ่มเสียสมดุล สูญเสียมูลค่าการค้า 90,000-100,000 ล้านบาท ความเชื่อมั่นทางการค้าและการลงทุนในตลาดกัมพูชาจะลดลง การท่องเที่ยวข้ามแดนหยุดชะงัก ธุรกิจโรงแรมร้านอาหารฝั่งกัมพูชาที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจากไทยอาจต้องปิดตัว
หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ปิดด่านนานถึง 1 ปี จะเกิดความเสียหายเชิงโครงสร้าง การค้าชายแดนอาจหายไปถึง 150,000-170,000 ล้านบาท หรือกว่าครึ่งหนึ่งของการค้าระหว่างประเทศ ไทยอาจสูญเสียตลาดกัมพูชาในบางสินค้าให้แก่จีนหรือเวียดนามแบบถาวร ขณะที่นักลงทุนไทยอาจย้ายฐานไปประเทศอื่น หรือถอนการลงทุนบางส่วน และ SMEs จำนวนมากอาจไม่สามารถอยู่รอดได้ โดยเฉพาะในธุรกิจโลจิสติกส์ชายแดน
จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรเร่งออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดย “นายพิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลยังมีงบในการกระตุ้นเศรษฐกิจเหลืออีก 4.2 หมื่นล้านบาท จากวงเงินในก้อน 1.57 แสนล้านบาท หลังจากจัดสรรให้โครงการต่าง ๆ ไปแล้ว 1.15 แสนล้านบาท วงเงินที่เหลือเบื้องต้นจัดสรรไปแล้ว 1 หมื่นกว่าล้านบาท เหลืออีกราว 2.5 หมื่นล้านบาทที่จะสามารถนำมารองรับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาได้ แต่อาจจะไม่เพียงพอก็คงต้องดึงงบประมาณในส่วนอื่นเข้ามาเสริมด้วย
"จากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จะต้องมีการก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านเรือนอีกเยอะมาก ดังนั้นงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ 2.5 หมื่นล้านบาทอาจจะไม่พอ อาจต้องเอางบที่อื่นมาช่วยด้วย ส่วนถามว่าจะต้องมีการกู้เงินเพิ่มหรือไม่ เบื้องต้นยังไงก็ต้องใช้เงินตามกรอบงบประมาณ ส่วนการกู้เงิน ก็ต้องกู้ตามแผนของงบประมาณด้วยเช่นกัน" นายพิชัย กล่าว
ขณะที่ “นายธนวรรธน์ พลวิชัย” อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ไทยมีการค้าผ่านแดนกับกัมพูชา ผ่านจุดผ่านแดนถาวรหลักรวม 5 ด่าน คือ ด่านอรัญประเทศ คลองใหญ่ ช่องจอม จันทบุรี และช่องสะงำ ซึ่งหากเหตุการณ์ปะทะรุนแรงจนต้องปิดด่านทั้ง 5 แห่ง คาดว่าจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทย ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน และหากเหตุการณ์ยืดเยื้อไปจนถึงสิ้นปีนี้ อาจจะสร้างความเสียหายรวม 5.5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ดี การค้าขายผ่านทั้ง 5 ด่าน เป็นการค้าขายทางบก แต่หลังจากเกิดปัญหาความขัดแย้ง ผู้ค้าขายได้ปรับรูปแบบการค้าเป็นการค้าและส่งออกผ่านทางอากาศ และทางเรือนแทน ซึ่งอาจจะทำให้ความเสียหายด้านการค้าของ 2 ฝ่ายลดดลง และยังต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ว่าเหตุปะทะจะยืดเยื้อ รุนแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ ไทยได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูต และลดระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชาลงแล้ว
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ได้ประเมินผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้ง 5 ด่าน ใน 3 Scenario ดังนี้
กรณีฐาน : ความตึงเครียดคลี่คลายได้เร็ว สามารถแก้ไขความขัดแย้งและฟื้นฟูสถานการณ์ค้าชายแดนได้ภายใน 1 เดือน จะมีผลกระทบต่อการส่งออกที่อาจลดลง 11,600 ล้านบาท
กรณีความตึงเครียดยืดเยื้อปานกลาง : สามารถแก้ไขความขัดแย้งและฟื้นฟูสถานการณ์ค้าชายแดนได้ภายใน 3 เดือน จะมีผลกระทบต่อการส่งออกที่อาจลดลง 34,000 ล้านบาท
กรณีเลวร้ายสุด : ปิดด่าน 100% ตลอดช่วงที่เหลือของปี 2568 จะมีผลกระทบต่อการส่งออกที่อาจลดลง 55,000 ล้านบาท
เช่นเดียวกับ “รศ.อนุสรณ์ ธรรมใจ” คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เรียกร้องให้หยุดยิงเพื่อรักษาชีวิตผู้คนและลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากไทยจะได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการปะทะกันแล้ว เราอาจได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีร้อยละ 36 จากสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งยิ่งการสู้รบยืดเยื้อเท่าไร ความเสียหายจะยิ่งยากต่อการเยียวยามากขึ้นเท่านั้น สร้างบาดแผลและปัญหาตามมามากมายและจะสูญเสียทรัพยากรจำนวนมากในการแก้ปัญหาอื่น ๆ ของสังคม
“เปรียบเทียบกับกรณีความขัดแย้งชายแดนเมื่อปี 2554 ซึ่งใช้เวลาราว 4 เดือนกว่าการค้าจะกลับสู่ภาวะปกติ ครั้งนี้มีแนวโน้มจะฟื้นตัวอย่างไรนั้นอยู่ที่การเจรจาหยุดยิง และการเปิดด่านตามแนวชายแดนจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อย่างไรก็ตามมูลค่าการค้าตามแนวชายแดนในปี 2568 มีโอกาสขยายตัวติดลบเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมาที่มีการขยายตัวเป็นบวกได้”
เช่นเดียวกับ “นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข” ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชากล่าวว่า สถานการณ์การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มูลค่าการค้า ที่หายไปวันละ 500 ล้านบาท ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับสมาชิกถึงมาตรการรับมืออยู่แล้ว และล่าสุดเกิดการปะทะกันต้องจับตาดูเรื่องความปลอดภัยของคนไทยที่ไปทำธุรกิจในกัมพูชา
ด้าน “นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ภาพรวมการค้าชายแดนในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.68) พบว่า การส่งออกจากไทยไปมาเลเซีย มีมูลค่าสูงสุดที่ 6,434 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 6.4% รองลงมา เป็นการส่งออกไปกัมพูชา มีมูลค่า 5,123 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.4% อันดับสาม การส่งออกไป สปป.ลาว มูลค่า 2,901 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 3.8% และอันดับ 4 การส่งออกไปเมียนมา มูลค่า 2,237 ล้านบาท ขยายตัว 1.7%
ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ควรยุติโดยเร็ว!
ปากท้องของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ