เชื่องช้า แต่น่าหลงใหล ทำไมการเดินทางด้วยรถไฟถึงทำให้หลายคนตกหลุมรัก
ยานพาหนะขนาดใหญ่ที่พาเราไปได้ไกลสุดขอบประเทศ เสียงหวูด ‘ปู๊นๆ’ ของเครื่องจักร ภาพวิวทิวทัศน์เต็มตาระหว่างทาง เพื่อนร่วมทางหลากหลายที่มา ทุกอย่างต่างก็ทำให้การเดินทางครั้งนี้มีเสน่ห์ขึ้น
พูดถึงการเดินทางสุดคลาสสิกและโรแมนติกที่สุด หลายคนคงนึกถึงรถไฟเป็นอันดับแรกๆ แต่นอกจากจะเป็นยานพาหนะที่อยู่คู่กับมนุษย์มานานกว่า 2 ศตวรรษแล้ว รถไฟยังเป็นฉากสำคัญในวรรณกรรมและภาพยนตร์มากมาย อย่าง Before Sunrise (1995) ภาพยนตร์สุดโรแมนติกว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มสาวแปลกหน้าที่ตกหลุมรักระหว่างเดินทางด้วยรถไฟ หรือฉากสำคัญในโลกเวทมนตร์อย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับการทะลุเข้าไปในชานชาลาที่ 9¾
ไม่ว่าเรื่องไหนๆ การเดินทางด้วยรถไฟก็มักเต็มไปด้วยความรัก การจากลา มิตรภาพ และการค้นพบสิ่งใหม่
แต่ทำไมเราถึงรู้สึกสบายใจที่ได้ท่องเที่ยวด้วยรถไฟกันนะ วันนี้เราเลยชวนมาดูเหตุผลที่รถไฟทำให้ใครหลายคนตกหลุมรัก แล้วทำไมการนั่งรถไฟถึงเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรกับโลกของเรา
เสน่ห์ของการเดินทางด้วยรถไฟ
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีทุกครั้งที่ได้นั่งรถไฟ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมนุษย์เราหลงรักการเดินทางอยู่แล้ว
จากหนังสือ In Motion: The Experience of Travel โดย โทนี่ ฮิสส์ (Tony Hiss) ว่าด้วยเรื่องของการเดินทางของมนุษย์ อธิบายว่ามนุษย์มักรู้สึกดีเมื่อได้เคลื่อนไหว ซึ่งเริ่มตั้งแต่ที่บรรพบุรุษเราเริ่มยืนได้ และมีความอยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆ พวกเขาเลยอยากสำรวจสิ่งรอบๆ ตัวให้มากขึ้น เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูล หรือเพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่าง ซึ่งนี่จึงสามารถอธิบายได้ว่าทำไมมนุษย์จึงชอบเดินทาง โดยเฉพาะกับรถไฟที่เราสามารถมองเห็นภูมิประเทศ หรือสิ่งใหม่ๆ ได้ตลอด
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เพราะมนุษย์ชอบการเดินทางอย่างเดียวหรอก เพราะสิ่งที่ทำให้การเดินทางด้วยรถไฟแตกต่างจากวิธีเดินทางแบบอื่นๆ นั่นคือการอนุญาตให้เราได้ครุ่นคิดกับตัวเองมากเป็นพิเศษ
เมื่อไหร่ก็ตามที่นึกถึงการนั่งรถไฟ เรามักรู้สึกว่าทั้งเวลาและบรรยากาศดูต่างไปจากชีวิตประจำวันที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่ไม่รู้จัก วิวภายนอกที่แปลกตา หรือการปล่อยเวลาให้ไหลไปเรื่อยๆ เพราะทำได้แค่นั่งรอให้ถึงปลายทางเท่านั้น นั่นจึงทำให้เรามีโอกาสได้ใช้เวลาอ่านหนังสือสักเล่ม ได้ยืดเส้นยืดสายด้วยการเดินไปโบกี้อื่นๆ หรือพูดคุยกับคนแปลกหน้าระหว่างอยู่บนรถไฟ แบบที่ถ้าเป็นพาหนะอื่นคงทำได้ยาก เมื่อไร้ความกดดันที่เราต้องรับผิดชอบ ไม่แปลกที่เราจะได้ใช้เวลานี้ไตร่ตรองเรื่องสำคัญๆ ในชีวิต หรือมักได้ไอเดียใหม่ๆ จากการเดินทาง
มีการยืนยันจากงานวิจัยของอุตสาหกรรมรถไฟและนักวิทยาศาสตร์ด้านสมอง จาก University College London (UCL) ประเทศอังกฤษ พบว่าการเดินทางโดยรถไฟมีประโยชน์ต่อสุขภาพจิตและการทำงานของสมอง โดยเฉพาะคนที่สมองล้าจากการทำงานที่บ้านนานๆ การเดินทางด้วยรถไฟช่วยปลุกให้สมองตื่นตัว รวมถึงความแปลกใหม่จะช่วยสร้างความทรงจำใหม่ๆ ให้แต่ละวันพิเศษมากขึ้นด้วย นั่นจึงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟทำให้เรารู้สึกสดชื่นได้ทุกครั้ง
แต่นอกจากเหตุผลที่ว่ามาแล้ว ที่ผ่านมาก็มีคนดังหลายคนเลือกเดินทางด้วยรถไฟ ไม่ว่าจะเป็น เกรต้า ธันเบิร์ก (Greta Thunberg) นักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศ หรือเจอโรม เบล (Jerome Bel) นักออกแบบท่าเต้นชาวฝรั่งเศส ไม่ใช่เพียงเพราะทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ เท่านั้น แต่การเดินทางด้วยรถไฟยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าเครื่องบินถึง 3 เท่า
การเดินทางเป็นสาเหตุให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) จากการเผาไหม้เชื้อเพลิง ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเมื่อถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเฉลี่ยแล้ว การเดินทางด้วยรถไฟสามารถลดการปล่อยก๊าซ CO₂ ได้มากถึง 96.5% เมื่อเทียบกับเที่ยวบินในเส้นทางเดียวกัน ดังนั้นหลายคนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมจึงเลือกขึ้นรถไฟมากกว่าการเดินทางแบบอื่นๆ
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่ารถไฟก็ยังมีข้อจำกัดการเดินทางเช่นเดียวกับการเดินทางรูปแบบอื่นๆ เช่น การจองยุ่งยาก ส่วนใหญ่มักเต็มอย่างรวดเร็วหากเราจองใกล้วันเดินทาง หรือบางทีก็อาจมีราคาแพงกว่าเครื่องบินที่ประหยัดเวลาเดินทางได้มากกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นการเดินทางก็เป็นสิ่งที่เรามีสิทธิ์เลือกเองได้ ก่อนเดินทางอาจจะลองชั่งน้ำหนักกัน ระหว่างความสะดวก ราคา หรือความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หากวิธีการเดินทางไหนที่เหมาะกับเรา ก็อาจจะถือว่าสิ่งนั้นเหมาะสมที่สุดแล้วก็ได้
แต่ถ้าอยากลองประสบการณ์แปลกใหม่ ครั้งต่อไปถ้ามีโอกาสอย่าลืมลองเลือกรถไฟเป็นวิธีเดินทางกันนะ
อ้างอิง