อย่าเลื่อนหนี! ระบอบอิสลามิสต์ในซีเรีย อนุญาตฆ่าชาวคริสต์-ดรูซ แค่เพราะต่างศาสนา
อย่าเพิกเฉย ระบอบอิสลามิสต์ในซีเรีย ปล่อยให้มีการสังหารชาวคริสต์และดรูซ อดีตผู้นำก่อการร้ายขึ้นเป็นประธานาธิบดีเฉพาะกาล ขณะที่ชุมชนชาวคริสต์และดรูซเผชิญการฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม
สำนักข่าวต่างประเทศ นักข่าวของ ฟ๊อกนิวส์ รายงาน ซูห์ดี จาสเซอร์ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีรายงานที่น่าสลดใจออกมาจากซีเรีย เกิดฆาตกรรมพลเรือนผู้บริสุทธิ์อย่างโหดร้าย หลายคนเป็นชนกลุ่มน้อยชาวคริสต์และชาวดรูซ คาดว่าเป็นฝีมือของกองกำลังสนับสนุนระบอบอิสลามิสต์ของประเทศ ซึ่งปัจจุบันนำโดยประธานาธิบดีเฉพาะกาล อาเหม็ด อัล-ชารา ก่อนหน้านี้รู้จักกันในนามแฝง “อาบู โมฮัมเหม็ด อัล-โกลานี”
นายอาเหม็ดเคยอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ก่อการร้ายที่ FBI ต้องการตัวมากที่สุดระหว่างปี 2013 ถึง 2024 จากวีรกรรมในกลุ่มก่อการร้ายสุหนี่อิสลามิสต์ในภูมิภาค
ฐานะชาวซีเรีย-อเมริกัน ผู้เขียนต้นฉบับรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินของบรรพบุรุษ ในฐานะแพทย์ ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อความทุกข์ทรมานของเพื่อนมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังพาดหัวข่าวได้ และในฐานะคนที่เฝ้าเตือนถึงภัยคุกคามของลัทธิอิสลามนิยมมานานหลายทศวรรษ ขอส่งสัญญาณเตือนว่า ระบอบเผด็จการใหม่กำลังหยั่งรากลึกลงในซีเรีย มันอาจใช้ภาษาศาสนามาเป็นเครื่องบังหน้า แต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายและการทำลายล้างไม่ต่างจากระบอบที่แล้ว
เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดโปง ทำความเข้าใจ เผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนที่กำลังจะนำซีเรียไปสู่ระบอบเผด็จการอีกครั้ง หลังจากต้องทนทุกข์ภายใต้เผด็จการทหารของพรรคบาธมานานกว่า 55 ปี
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่โลกดูจะคุ้นชินกับความทุกข์ของชาวซีเรียไปแล้ว นับตั้งแต่ระบอบอัสซาดเริ่มใช้ความรุนแรงในปี 2011 เพื่อปราบปรามการลุกฮือของประชาชน ประเทศนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงคราม การพลัดถิ่น และความสูญเสีย มีผู้คนล้มตายกว่าครึ่งล้านคน อีกกว่า 13 ล้านคนต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย เมืองต่างๆ อย่างอเลปโป บ้านเกิดของบรรพบุรุษผม ถูกถล่มจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง
ทว่า ท่ามกลางเถ้าถ่านของตระกูลอัสซาด ระบอบอำนาจนิยมใหม่กำลังก่อตัวขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยลัทธิฟาสซิสต์ทางโลก หากแต่เป็นลัทธิอำนาจนิยมทางศาสนา
รายงานที่สำนักข่าวต่างประเทศได้รับชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงทางนิกายที่มุ่งเป้าไปยังชนกลุ่มน้อยทางศาสนาของซีเรีย โดยเฉพาะชาวคริสต์และชาวดรูซ พวกเขาคือชุมชนที่อาศัยอยู่ในซีเรียมานานหลายศตวรรษ ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะถือกำเนิด และผ่านพ้นการกดขี่ข่มเหงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มาวันนี้ พวกเขากำลังตกเป็นเป้าหมายอีกครั้งจากกลุ่มที่สนับสนุนระบอบใหม่ ซึ่งผู้นำยึดมั่นในการตีความศาสนาอิสลามแบบสุดโต่ง และมองว่าความเชื่อที่แตกต่างไม่ใช่ความหลากหลาย แต่เป็นอาชญากรรมที่ต้องถูกลงโทษถึงตาย
นี่ไม่ใช่ศาสนาอิสลาม แต่มันคือลัทธิอิสลามนิยม (Islamism)
ลัทธิอิสลามนิยมคือการตีความหลักคำสอนที่มุ่งสร้างระบอบการเมืองแบบเทวาธิปไตยอันเข้มงวด ต้องการใช้กฎหมายชารีอะฮ์มาบังคับใช้ในทุกมิติของสังคม ไม่ใช่แค่ในฐานะแนวทางปฏิบัติส่วนบุคคล กลุ่มอิสลามิสต์มองว่าสิทธิของพลเมืองไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากศาสนาในแบบที่พวกเขาตีความ พวกเขาเชื่อว่าอำนาจทางการเมืองของตนนั้นได้รับมอบหมายจากเบื้องบน และใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยถือเป็นพวกนอกรีตและคนทรยศ นี่จึงไม่ใช่ความศรัทธา แต่เป็นลัทธิฟาสซิสต์ที่แอบอ้างพระนามของพระเจ้า
เป็นเวลาหลายปีที่กลุ่มอิสลามิสต์พยายามสร้างภาพจอมปลอมว่าเป็นยาถอนพิษจากเผด็จการอัสซาด พวกเขาบอกกับชาวโลกว่ากำลังต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ความยุติธรรม และประชาธิปไตย แต่ต้องเข้าใจว่า กลุ่มอิสลามิสต์ที่ครองอำนาจอยู่ตอนนี้ ไม่ได้ต่างไปจากอัสซาดเลยแม้แต่น้อย วิธีการอาจต่างกัน แต่เป้าหมายยังคงเหมือนเดิม นั่นคือการควบคุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จโดยอาศัยความกลัว ความรุนแรง และการกดขี่
ในขณะที่ตระกูลอัสซาดใช้ห้องทรมานและอาวุธเคมี กลุ่มอิสลามิสต์ก็ใช้อัตลักษณ์ทางศาสนาเป็นทั้งดาบและโล่ ในขณะที่อัสซาดสร้างความแตกแยกทางนิกายเพื่อหาความชอบธรรมในการปราบปรามผู้เห็นต่าง กลุ่มอิสลามิสต์ก็กำลังทำสิ่งเดียวกันในนามของ “สัจธรรมจากพระเจ้า” ในแบบของตน และผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน: ศพเกลื่อนกลาด ครอบครัวแตกสลาย และอนาคตแห่งเสรีภาพที่มืดมนลง
หัวใจสำคัญของการต่อสู้นี้คือหลักการที่ชาวอเมริกันยึดถือ แต่กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงทั่วโลก นั่นคือ “เสรีภาพทางศาสนา” มันไม่ใช่แค่สิทธิข้อหนึ่ง แต่เป็นรากฐานของสิทธินับล้าน ดังที่ผมเคยพูดเสมอว่า เสรีภาพทางศาสนาคือจุดเริ่มต้นของเสรีภาพทั้งปวง เมื่อเสรีภาพนี้เบ่งบาน สังคมก็จะรุ่งเรือง แต่เมื่อใดที่มันถูกทำลาย เสรีภาพข้ออื่นๆ ก็จะพังทลายตามไป
นี่ไม่ใช่แค่แนวคิดเชิงปรัชญา แต่คือความจริงในชีวิตของผู้คนนับล้าน เมื่อผู้คนถูกปฏิเสธสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อตามมโนธรรมของตนเอง ก็เป็นแค่เรื่องของเวลาก่อนที่พวกเขาจะถูกพรากสิทธิในการพูด การชุมนุม การเลือกตั้ง และการใช้ชีวิตโดยปราศจากความกลัว ซีเรียคือกรณีศึกษาที่น่าเศร้าของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเสรีภาพทางศาสนาถูกแทนที่ด้วยระบอบอำนาจนิยม ไม่ว่าจะเป็นแบบทางโลกหรือทางศาสนาก็ตาม
ที่กลุ่มพันธมิตร CLARITy Coalition เรามุ่งมั่นที่จะเปิดโปงภัยคุกคามจากทั้งอิสลามการเมืองและระบอบเผด็จการ เราคือเครือข่ายของชาวมุสลิม อดีตมุสลิม และพันธมิตรจากหลากหลายแนวคิดที่เชื่อว่าเสรีภาพเป็นของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่แค่ค่านิยมของชาติตะวันตก เราเชื่อในศักดิ์ศรีของมนุษย์ ความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย และความจริงที่ว่าไม่มีรัฐบาลใดมีสิทธิ์มาบงการความเชื่อของคุณได้
เราขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกไม่เพียงแค่ประณามเหตุการณ์โหดร้ายล่าสุดในซีเรีย แต่ต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ซึ่งหมายถึงการเรียกร้องให้มีการสอบสวนการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้น การกดดันให้รัฐบาลในดามัสกัสต้องรับผิดชอบและสร้างความโปร่งใสในการคุ้มครองชนกลุ่มน้อยและพลเมืองทุกคน การระงับการยอมรับและการสนับสนุนระบอบใดๆ ที่ก่ออาชญากรรม และการยอมรับว่าลัทธิอิสลามนิยมคืออุดมการณ์ทางการเมืองที่อันตราย ไม่ใช่การแสดงออกถึงความศรัทธา แต่เป็นการบิดเบือนศาสนาเพื่อเป้าหมายที่สุดโต่ง
ในปี 2013 รัฐบาลโอบามาเคยสนับสนุนระบอบอิสลามิสต์ของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมในอียิปต์ ซึ่งท้ายที่สุดก็ได้ปูทางให้ระบอบทหารหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง ความหลากหลายทางศาสนาอันลึกซึ้งของซีเรียสามารถเป็นเกราะป้องกันการแก่งแย่งชิงอำนาจสุดโหดเช่นนี้ได้ แต่นั่นหมายความว่าเราต้องยืนหยัดเคียงข้างชาวซีเรียทุกคน: ทั้งชาวคริสต์ ดรูซ สุหนี่ ชีอะห์ อะลาไวต์ เคิร์ด และผู้ที่ไม่นับถือศาสนา ทุกคนที่โหยหาแผ่นดินที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ชุมนุม และแสดงความคิดเห็นได้โดยไม่ต้องหวาดกลัว
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ควรเรียกร้องความรับผิดชอบและความโปร่งใสอย่างเต็มที่จากรัฐบาลของอัล-ชาราในทันที เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อย และความรับผิดชอบโดยตรงของเขาต่อเสรีภาพของคนกลุ่มนี้
ชาวซีเรียสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่าทางเลือกระหว่างอัสซาดและอัล-โกลานี พวกเขาสมควรได้รับอนาคตที่วางอยู่บนรากฐานของเสรีภาพและศักดิ์ศรี ไม่ใช่ความขัดแย้งและความรุนแรง โลกเคยเพิกเฉยต่อซีเรียมาแล้ว และราคาที่ต้องจ่ายนั้นสาหัสเกินกว่าที่เราจะยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้อีก