SCGP กำไร Q2 ตามคาด ลุ้นครึ่งปีหลังพุ่งแรง เป้า 19.55 บ.
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 19 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินว่า SCGP มีกําไรไตรมาส 2/2568 ฟื้นตัวตามคาด ผู้บริหารมองช่วงครึ่งหลังปี 2568 ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก
- คงคําแนะนํา Trading Buy และราคาเป้าหมายที่ 55 บาทอิง Avg PER +0.5SD ที่ 25 เท่า โดย 3 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับขึ้นกว่า 31% สะท้อนแนวโน้มผลประกอบการที่ฟื้นตัวรวมถึงได้รับประโยชน์ถ้า Trade Deal แต่ละประเทศมีความชัดเจน
- SCGP รายงานกําไรในไตรมาส 2/2568 ที่ 1 พันล้านบาทเป็นไปตามที่เราและตลาดคาดไว้ โดยกําไรไตรมาสนี้ปรับลดลง 30% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งปรับลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากแรงกดดันด้านราคาขายในขณะที่ปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ลดลงและการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
- คงประมาณการกําไรปี 2568ที่ 3 พันล้านบาท โดยกําไรครึ่งปีแรกคาดว่าจะอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท หรือ 57% ของประมาณการทั้งปี มีโอกาสเกิด Upside Risk (ความเสี่ยงด้านบวก/โอกาสปรับตัวขึ้นเกินคาด) จากประมาณการหากครึ่งปีหลังสามารถรักษาระดับผลประกอบการได้ตามแผน
- ประกาศจ่ายปันผล 25 บาทต่อหุ้น XD 8 สิงหาคม
สรุปผลประกอบการ
SCGP รายงานกําไรในไตรมาส 2/2568 ที่ 1 พันล้านบาท เป็นไปตามที่เราและตลาดคาดไว้ โดยกําไรในไตรมาสนี้ปรับลดลง 30% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งปรับลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากแรงกดดันด้านราคาขาย ในขณะที่ปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ลดลง และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพในกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Business - IPB) EBITDA ที่ 3.8 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อนหน้า) ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบ (RCP) ขณะเดียวกันการเน้นตลาดในประเทศมากขึ้นช่วยหนุนอัตรากําไรดีขึ้นสําหรับกลุ่มธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibers Business) EBITDA ปรับลดลงมาอยู่ที่ 448 ล้านบาท (ลดลง 60% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ ลดลง 39% จากไตรมาสก่อนหน้า) จากราคาขายและปริมาณขายที่ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มเยื่อกระดาษ (pulp) ที่ได้รับผลกระทบจากดีมานด์ในอุตสาหกรรมสิ่งทอที่ชะลอตัว
คงประมาณการกําไรปี2568 ที่ 3.3 พันล้านบาท
เบื้องต้นเรายังคงประมาณการกําไรทั้งปีที่ 3.3 พันล้านบาท โดยกําไรในช่วงครึ่งแรกปี 2568 จะอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาทหรือคิดเป็น 57% ของประมาณการ ทั้งนี้มีโอกาสมี Upside Risk จากประมาณการได้ โดยบริษัทยังประเมินว่าช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ผลการดําเนินงานจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของปริมาณคําสั่งซื้อในเวียดนามและอินโดนีเซียที่กลับมาดําเนินงานเต็มรูปแบบ รวมถึงประโยชน์จากมาตรการลดต้นทุนของ Fajar (อินโดนีเซีย) ที่จะเริ่มสะท้อนผลเต็มไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 3
คงราคาเป้าหมาย 19.55 บาท
คงคําแนะนํา Trading Buy และราคาเป้าหมายที่ 19.55 บาท อิง Avg PER +0.5SD ที่ 25เท่า โดย 3 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับขึ้นกว่า 31% สะท้อนแนวโน้มผลประกอบการที่ฟื้นตัว รวมถึงได้รับประโยชน์ถ้า Trade Deal แต่ละประเทศมีความชัดเจน
ความเสี่ยง:ความเสี่ยงจากการเศรษฐกิจที่ชะลอตัว,ต้นทุนพลังงานและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น
แนวโน้มครึ่งหลังปี
ผู้บริหาร SCGP คาดว่าผลการดําเนินงานในครึ่งหลังปีจะดีกว่าครึ่งปีแรกจากแรงส่งด้านปริมาณขายที่มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ที่เข้าสู่ฤดูกาลสั่งผลิตเพื่อรองรับยอดขายปลายปี ทั้งนี้ตลาดในประเทศของเวียดนามและอินโดนีเซียยังแสดงความแข็งแกร่งต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจ Food Service Packaging ได้แรงหนุนจากฤดูกาลท่องเที่ยวในยุโรปและสหรัฐฯ ส่วนไตรมาส 4 มีแนวโน้มการบริโภคในเอเชียกลับมาดีขึ้นตามการท่องเที่ยว ส่งผลให้กลุ่มสินค้า QSR ยังสามารถเติบโตต่อได้ สําหรับธุรกิจเยื่อกระดาษ แม้จะยังเผชิญความท้าทายจากราคาขายที่ต่ำ แต่บริษัทประเมินว่าราคาน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้วและมีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงปลายปีจากวัฏจักรสินค้าในภาคสิ่งทอ
ในด้านต้นทุน บริษัทคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่เอื้อต่ออัตรากําไร ทั้งพลังงานและวัตถุดิบ (RCP) ที่มีความผันผวนไม่มาก อีกทั้ง SCGP ยังเดินหน้าขยายการใช้ระบบ Lean-Automation-AI ที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะในอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลและติดตั้งระบบเพื่อเตรียมขยาย AI Model จากประเทศไทย คาดว่าจะเห็นผลเชิงบวกเพิ่มเติมในปีหน้า นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค (Consumer-linked Packaging) อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะปิดดีลใหม่อย่างน้อย 1 รายภายในปีนี้ และอีก 1 รายต้นปีหน้า ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตในเชิงกลยุทธ์ ทั้งในด้านอัตรากําไรและการกระจายรายได้ไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียน