‘SCC’ กำไรไตรมาส 2 ฟื้นเด่น ธุรกิจ ‘แพคเกจจิ้ง-ซีเมนต์’ ดีเกินคาด

หนึ่งในกลุ่ม “หุ้นบิ๊กแคป” หรือSET50 ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่นักลงทุนไทยและต่างชาติ ต่างเฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวในมุมของผลดำเนินงานไตรมาส 2 และครึ่งแรกปี 2568 ยกให้บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ซึ่งไม่ทำให้ผิดหวัง สะท้อนผ่านประกาศงบไตรมาส 2 ปี 2568 มีกําไรสุทธิอยู่ที่ 17,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 368% ซึ่งรวมรายการพิเศษ 15,170 ล้านบาท โดยกำไรพิเศษ ได้แก่ กำไรจากการปรับโครงสร้างที่เกี่ยวกับ PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) รวม 16,712 ล้านบาท

หากไม่รวมรายการพิเศษไตรมาส 2 ปี 2568 กำไรสุทธิอยู่ที่ 2,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% จากไตรมาสก่อน ซึ่งผลดําเนินงานที่ดีขึ้นในไตรมาสนี้ เป็นผลจากเงินปันผลรับตามฤดูกาลจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) ผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจซีเมนต์ แอนด์กรีนโซลูชันส์ รวมถึงธุรกิจแพคเกจจิ้ง

สอดคล้องกับ 2 บริษัทในเครือ 2 แห่งคือบมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) และบมจ.เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) ได้ประกาศงบไตรมาส 2 และครึ่งแรกปี 2568 ออกมาแล้ว ซึ่งทิศทางออกมาใน “เชิงบวก” มากขึ้น แม้กำไรสุทธิยังชะลอตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เป็นการชะลอตัวที่เริ่มเห็นสัญญาณผงกหัวขึ้นแล้วเทียบกับไตรมาสก่อน

โดย SCGD กำไรสุทธิลดลงเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่มีกำไรสุทธิฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2568 สะท้อนภาพ SCGP มีกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่1,009.79 ลดลง 30% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,453.66 ล้านบาทฟื้นตัวจากไตรมาส 1 ปี 2568 กำไรสุทธิ 900 ล้านบาท

สอดรับครึ่งปีแรกความต้องการบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนปรับตัวดีขึ้นเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในชีวิตประจำวัน ซึ่งได้รับแรงสนับสนุน มาจากตลาดภายในประเทศและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าอาหาร รองเท้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งซื้อสินค้าเพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าคงคลังในช่วงที่สหรัฐมีการระงับการเรียกเก็บภาษีตอบโต้

ด้าน SCGD กำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 222.56 ล้านบาท ลดลง 22% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 283.90 ล้านบาท แต่ฟื้นตัวจากไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 218 เพิ่มขึ้น 2% และคาดว่าครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่สดใส โดยเฉพาะตลาดประเทศเวียดนามที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยโรงงานของบริษัทในประเทศ เวียดนามก็มีความพร้อมด้านต้นทุนที่แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้

ดังนั้น ในส่วนของบริษัทแม่ (SCC) คาดว่าผลประกอบการเริ่มทยอย “ฟื้นตัว” จากช่วงไตรมาสก่อนเช่นกัน สอดคล้องกับนักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองว่า ปัจจัยบวก กำลังรออยู่ข้างหน้า หลังมีการปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา ด้วยการตัดขายสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดกำไร ขณะที่ผลดำเนินงาน SCGP และ SCGD กำไรสุทธิลดลงเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่กำไรสุทธิฟื้นตัวจากไตรมาส 1 ปี 2568

“กรรณ์ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภาพรวมกลุ่ม SCC ทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะไตรมาส 2 ปี 2568 หุ้น SCGP ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของ SCC นั้น ผลประกอบการออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยมีกำไรอยู่ที่กว่า 1,000 ล้านบาท สิ่งที่น่าสนใจคือ รายละเอียดภายในงบการเงินระบุว่า ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ในอินโดนีเซีย ซึ่งมีชื่อว่า Fajar มีอัตรากำไร หรือ อิบิตด้าเป็นบวกแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่ง เนื่องจาก Fajar เคยเป็นปัจจัยที่กดดันผลกำไรและราคาหุ้นของ SCGP มาพักใหญ่ นอกจากนี้ ยังมี SCGD ซึ่งก็เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือของ SCC ด้วย ที่ประกาศผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด

“ณัฐพล คำถาเครือ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมของกลุ่ม SCC ตลาดได้รับรู้ถึงสถานการณ์ผลประกอบการที่ไม่น่าจะดีอยู่แล้ว และคาดการณ์ว่าถึงจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มนี้มีลักษณะที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นเมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลประกอบการที่อาจไม่ดีนักได้ปรากฏออกมาแล้ว และตลาดได้ซึมซับข่าวร้ายไปมากพอ

อย่างไรก็ตาม กรณีของหุ้น SCGP แม้ว่าผลประกอบการจะออกมาไม่ดี แต่ก็ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ประมาณ 7% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ราคาหุ้นตอบรับในเชิงบวก