เพราะอากาศแปรปรวนบ่อย มันทำให้ฉัน…
“35 องศาเซลเซียส” อุณหภูมิบนหน้าจอพัดลมอัจฉริยะคำนวณให้เห็นถึงอุณหภูมิอันร้อนอบอ้าว ทั้งๆที่อยู่ในช่วงหน้าฝน ซ้ำร้ายเครื่องปรับอากาศที่ช่วยบรรเทาความร้อนนั้นเกิดพังขึ้นมาอย่างเป็นใจ
“ร้อนนน” กลายเป็นคำพูดติดปากที่พูดขึ้นมาเองอัตโนมัติ แม้จะไม่มีใครฟังอยู่ก็ตาม
ลมไอร้อนที่พัดพามาจากหน้าต่างก็มาพร้อมฝุ่นที่มองไม่เห็นจำนวนมหาศาล
ผื่นที่เริ่มขึ้นตามตัวและเหงื่อไคลที่หยดเป็นสายน้ำเริ่มส่งสัญญาณให้ความหงุดหงิดทวีคูณขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ต่อมาอีกเพียงไม่กี่วันฝนก็เริ่มตกอีกครั้งสลับกับอากาศร้อนในช่วงบ่ายยิ่งทำให้เราปรับตัวแทบไม่ทันกับสภาพอากาศอันแปรปรวน
แม้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือที่เรียกกันว่า ‘ภาวะโลกร้อน’ จะถูกพูดถึงมากจนชาชิน แต่สภาพอากาศไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะมีอำนาจควบคุมได้และทำได้เพียงรับมือกับมันเท่านั้น
สภาพอากาศที่หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตบนโลก นอกจากจะมีผลกับร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อภาวะจิตใจของมนุษย์อย่างมากด้วย เช่น การรับแสงแดดเพื่อกระตุ้นสารเซโรโทนินและโดพามีนที่เป็นสารความสุขและทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า รวมถึงลดความเครียด
แต่ปัจจุบันสภาพอากาศเริ่มร้อนระอุขึ้นพร้อมกับฟ้าฝนที่แปรปรวนอย่างผิดปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายคนต้องเผชิญกับอารมณ์ที่แปรปรวนไปด้วยเช่นกัน พร้อมกับอาการภูมิแพ้ที่นับวันยิ่งมีคนเป็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก
จากข้อมูลสถิติของสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย ปี 2559 ระบุว่า คนไทยมีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึง 3 – 4 เท่า เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในอาการแพ้นั้นคือภูมิแพ้อากาศ นอกจากนี้ยังมีโรคจากสภาพอากาศต่างๆ เช่น ฮีทสโตรก ท้องร่วง ไข้หวัด และโรคติดเชื้ออื่นๆ อีก
หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่าสภาพอากาศจะก่อกวนจิตใจและร่างกายเราได้มากเช่นนี้ แต่หากเรามองเรื่องนี้ลึกซึ้งขึ้น เราอาจเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสภาพอากาศ ร่างกายและจิตใจของเรามากขึ้น
อารมณ์ไม่ดีอาจไม่ใช่แค่เพราะขาดน้ำตาล
แม้จะมีคำติดปากในโลกโซเชียลที่มักให้เหตุผลเชิงขบขันว่าคนที่อารมณ์ไม่ดีเพราะขาดน้ำตาล แต่ต้นเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเราแต่ละวันโดยไม่ทันรู้ตัว คือ ‘สภาพอากาศ’ ในวันนั้นที่ส่งผลกับอารมณ์เรานับตั้งแต่เริ่มวัน
เช่น การตื่นนอนพร้อมกับอากาศร้อนจัด การเดินทางไปเรียนหรือทำงานพร้อมฝนที่ดันโหมกระหน่ำเวลานั้นพอดี หรือผ้าที่ตากไว้ดันไม่แห้งเพราะแสงแดดส่องมาไม่ถึง ซึ่งในชีวิตประจำวันของเราทุกคนก็มักได้รับผลกระทบจากอากาศที่แปรปรวนเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้การอยู่ในที่ร่มที่มีเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องปรับอากาศพร้อมสรรพจะช่วยบรรเทาผลกระทบเหล่านั้นไปได้ชั่วคราว แต่การอยู่เพียงในพื้นที่จำกัดเช่นนั้นก็ยังส่งผลต่อร่างกายมนุษย์ทั้งกายภาพและจิตใจ เช่น การไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ความรู้สึกไม่สดชื่นที่ไม่ได้รับแสงแดดธรรมชาติ หรือการอยู่ในพื้นที่ที่มีออกซิเจนน้อยก็ส่งผลให้สมองทำงานช้าลงและรู้สึกเฉื่อยชา
สำหรับประเทศไทยที่มีทั้งแดดร้อนจัดและฝนตกหนักสลับกันยิ่งทำให้เราได้รับผลกระทบในหลายด้าน เช่น อากาศร้อนจัดกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ทำให้เราเครียดและหงุดหงิดง่ายกว่าปกติ ขณะที่ในช่วงที่ฝนตกอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าจากสภาพอากาศ (Seasonal Affective Disorder) แม้ว่าภาวะนี้จะเชื่อมโยงกับช่วงฤดูหนาวที่แสงแดดน้อย แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรุนแรงก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการคล้ายกันได้ เช่น รู้สึกเศร้า เหนื่อยง่าย ขาดแรงจูงใจ และอยากกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต อย่าง ‘น้ำตาล’ มากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นความผันผวนของอากาศเหล่านี้ยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในการเดินทางไปพบปะหรือทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการชวนกันไปออกกำลังกาย ไปเที่ยวหรือการจัดงานเทศกาลกลางแจ้งอื่นๆ
เมื่อหลายกิจกรรมของเราในแต่ละวันถูกรบกวนโดยสภาพอากาศเช่นนี้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจ หรือรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้กับปัญหาเหล่านี้จนทำให้เราสั่งสมความเครียดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเมื่อเราไม่ทันสังเกตว่าความเครียดที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุอะไรก็ทำให้เราไม่รู้ว่าจะหาทางคลายเครียดได้อย่างไร
เราจะรับมือกับอารมณ์จากสภาพอากาศอย่างไร
ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าสีครามอันสดใสอาจเป็นภาพในอุดมคติของคำว่าอากาศดี ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่ง แต่สำหรับอากาศอันร้อนระอุในปัจจุบัน นั่นอาจเป็นฝันร้ายหากต้องอยู่ในสภาพอากาศไร้เมฆรับแสงแดดร้อนๆ ของดวงอาทิตย์ที่ยิ่งทำให้หลายคนเครียดเข้าไปอีก
หลายคนอาจมีสภาพอากาศที่ชื่นชอบเป็นพิเศษหรือเรียกว่าเป็นอากาศที่ดีสำหรับพวกเขา เช่น บางคนชอบตอนฝนตกพร่ำๆ เพราะเสียงฝนตกทำให้รู้สึกผ่อนคลายและยังทำให้อากาศเย็นขึ้น บางคนชอบอากาศที่มีลมโกรกสบายๆ ในยามเช้าให้รู้สึกสดชื่น หรือบางคนชอบอากาศหนาวที่ยังมีแสงแดดอ่อนๆ
สภาพอากาศเหล่านี้อาจมาเป็นตามฤดูกาลประจำอยู่แล้ว แต่ในภาวะโลกร้อนที่ทำให้อากาศเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เราคาดเดาสภาพอากาศได้ยากขึ้นและบางครั้งเราอาจต้องตามหาอากาศดีๆ เหล่านั้นในพื้นที่อื่น เช่น ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เนื่องจากในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นทิศทางลม แสงแดด หรือมลพิษต่างๆ
การรับมือกับสภาพอากาศอันแปรปรวนจึงมีอีกหลายปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่โลกนี้ก็ยังไม่ใจร้ายถึงขนาดไม่มีอากาศดีให้เราสักวัน
ในขั้นการรับมืออาจมีอยู่หลากหลายวิธีด้วยกัน เช่น การออกไปรับแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าหรือเย็นในวันที่อากาศดี แต่หากในช่วงฝนตก การอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงสว่างก็ช่วยให้สมองรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้ หรือการอยู่กับเพื่อนหรือครอบครัวในวันที่อากาศย่ำแย่เพื่อพูดคุยหรือทำกิจกรรมร่วมกันก็มีส่วนช่วยลดความเครียดและเพิ่มพลังบวกให้กับเราได้
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการดูแลร่างกายให้แข็งแรงทั้งการออกกำลังกาย กินอาหารตามหลักโภชนาการ และการพักผ่อนให้เพียงพอ เหล่านี้จะช่วยให้อาการภูมิแพ้บรรเทาลง แต่ในกรณีที่มีอาการภูมิแพ้รุนแรงในชีวิตประจำวันก็จำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาทางการแพทย์ควบคู่ไปด้วย
แม้เราอาจต้องยอมรับว่าความไม่แน่นอนของสภาพอากาศอันแปรปรวนนี้อาจไม่สามารถรับมือได้ทั้งหมด แต่การดำเนินชีวิตด้วยร่างกายที่แข็งแรงและสภาพจิตใจจะเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยให้เรารับมือกับสภาพอากาศอันแปรปรวนในทุกวันนี้ได้
บทความต้นฉบับได้ที่ : เพราะอากาศแปรปรวนบ่อย มันทำให้ฉัน…
บทความที่เกี่ยวข้อง
- 90 Years of Penguin Books สำนักพิมพ์ที่กระจายวรรณกรรมสู่วงกว้าง เพราะเชื่อว่าหนังสือที่ดีไม่ควรแพงกว่าบุหรี่หนึ่งซอง
- Spotlight: ประเทศไทยเกิดอะไรขึ้นบ้างในสัปดาห์นี้ [4-8 ส.ค. 68]
- คุยกับ กษิร ชีพเป็นสุข บทสนทนาว่าด้วยเรื่อง ‘อาเซียน’ เมื่อการร่วมใจของเอเชียอาคเนย์ เต็มไปด้วยความท้าทายและข้อจำกัด
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath