โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

90 Years of Penguin Books สำนักพิมพ์ที่กระจายวรรณกรรมสู่วงกว้าง เพราะเชื่อว่าหนังสือที่ดีไม่ควรแพงกว่าบุหรี่หนึ่งซอง

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังอยู่ในยุคที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ใช้ชีวิตอยู่ในภูมิทัศน์ของประเทศอังกฤษ คุณเป็นเจ้าของกิจการสำนักพิมพ์ที่ผลิตงานวรรณกรรมชั้นดี เข้าเล่มสวยงามด้วยการหุ้มหนังสัตว์ มันออกจะเป็นหนังสือที่ใหญ่เทอะทะไปหน่อย แต่นี่คือธรรมเนียมการผลิตสิ่งพิมพ์ที่ปฏิบัติกันมานานแล้ว ยอดขายหนังสืออยู่ที่ 1,000-5,000 เล่ม เพราะกลุ่มผู้อ่านอยู่ในชนชั้นสูง มีการศึกษา เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรแล้วถือว่ากิจการของคุณเฉพาะกลุ่มอยู่มาก

จนกระทั่งวันหนึ่งคุณพบว่า ในพื้นที่สาธารณะอื่นๆ คนพึ่งพาความบันเทิงจากเรื่องสั้นในหนังสือพิมพ์ และนิตยสารราคาถูกที่อ่านแล้วก็ชวนให้รู้สึกถึงความมิติเดียวของตัวละคร คนจำนวนมากอยู่ในกลุ่มชนชั้นแรงงานที่ไม่สามารถเข้าถึงหนังสือเล่มหนาๆ ห่อปกด้วยหนังสัตว์ได้ แต่ในยุคที่แนวคิดความเท่าเทียมกำลังกระจายในสังคม คุณเริ่มตั้งคำถามว่า ทำยังไงให้วรรณกรรมชั้นดีที่คุณผลิตกระจายไปสู่วงกว้างของสังคมได้บ้าง

ในความคิดของอัลเลน เลน ผู้จัดการสำนักพิมพ์ The Bodley Head เขาต้องการให้บริษัทสามารถผลิตหนังสือได้มากขึ้น จึงคิดนำหนังสือในสำนักพิมพ์มาจัดทำเป็นหนังสือปกอ่อน และขายในราคาถูก อัลเลนวางโปรเจกต์นี้ร่วมกับพี่น้องอีก 2 คน คือริชาร์ดและจอห์น พวกเขาเสนอไปยังกลุ่มผู้บริหารของ สำนักพิมพ์ The Bodley Head แต่ไม่มีใครเห็นด้วย พี่น้องตระกูลเลนจึงผลิตขึ้นเอง และใช้ชื่อในนาม Penguin Books

นับแต่นั้นมา วัฒนธรรมการอ่านในอังกฤษก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงวรรณกรรมชั้นดีได้อย่างทั่วถึง ทำให้เส้นแบ่งการอ่านระหว่างชนชั้นพร่าเลือน

1984 โดยจอร์จ ออร์เวล

The Mysterious Affair at Styles โดย อกาธา คริสตี้

Lady Chatterley's Lover โดย ดี.เอช.ลอว์เรนซ์

Pride and Prejudice โดย เจน ออสติน

The Odyssey โดย โฮเมอร์

คือส่วนหนึ่งของคอลเลกชัน Penguin Classic ที่นำงานวรรณกรรมมาตีพิมพ์บนหนังสือปกอ่อนให้คนเข้าถึงได้

ผ่านมา 90 ปี Penguin Books ยังผลิตหนังสือจากผลงานอันหลากหลาย ทั้งนักเขียนรุ่นใหม่ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักวิชาการ ศิลปิน และอื่นๆ คุณอาจจะคุ้นชื่อกับหนังสืออย่าง The Fault in Our Stars โดย จอห์น กรีน หรือหน้าปกที่สร้างเสียงฮือฮาอย่าง Knife หนังสือของ Salman Rushdie รวมไปถึงหนังสือฮาวทูยุคดิจิทัลอย่าง Digital Minimalism และ Slow Productivity โดย คาล นิวพอร์ต

ในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปีสำนักพิมพ์ที่มีคุณูปการกับสังคม เราชวนไปสำรวจว่า Penguin Books สร้างอิทธิพลในการอ่านและการผลิตหนังสือเพื่อมวลชนอย่างไรบ้าง

หนังสือวรรณกรรมชั้นดีไม่ควรแพงกว่าบุหรี่หนึ่งซอง

บ้างก็ว่าในปี 1934 ระหว่างอัลเลน เลนกำลังเดินทางไปหาอกาธา คริสตี้ นักเขียนนิยายอาชญากรรมชื่อดัง เขาอยู่บนรถไฟที่ไม่มีอะไรให้อ่านเลย นอกจากนิยายแบบ Pulp Fiction ที่ตัวละครมีมิติเดียวและพิมพ์อย่างไม่มีคุณภาพ (cheaply printed) เขาจึงเกิดไอเดียที่จะทำหนังสือวรรณกรรมชั้นดีที่คนเข้าถึงได้

แต่บ้างก็โต้แย้งว่านั่นอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด อันที่จริงโปรเจกต์ทดลองทำหนังสือปกอ่อนอยู่ในการพูดคุยระหว่างพี่น้องตระกูลเลนมานานแล้ว อัลเลน ริชาร์ด และจอห์นมองว่า การทำหนังสือปกแข็งเล่มใหญ่แบบสำนักพิมพ์ของลุงอย่าง The Bodley Head คงจะไม่ยั่งยืนในอนาคต เพราะการผลิตยังจำกัดอยู่ที่ 1,000-5,000 เล่ม หากเปลี่ยนไปทำหนังสือปกอ่อน พวกเขาอาจขยายให้เกิดการผลิตราว 20,000 เล่ม และกระจายหนังสือไปสู่กลุ่มผู้อ่านที่ ‘แมส’ ขึ้น

ส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจนี้อาจจะมาจากที่อัลเลนเคยร่วมฟังสัมมนาที่ริบปอนฮอล เมืองออกซฟอร์ด ซึ่งพูดคุยว่าจะทำยังไงให้หนังสือขยายวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากชนชั้นแรงงานในสังคมอังกฤษยังคงพึ่งพาการอ่านจากเรื่องสั้นในหนังสือพิมพ์ หรือนิยายราคาถูกที่หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้ออย่าง Woolworths ต่อมายังมีร้านเช่าหนังสือที่ชื่อว่า Twopenny libraries เป็นกิจการเฟื่องฟูที่เข้าถึงคนอ่านจำนวนมาก ทำให้ตลาดกลุ่มนี้เป็นที่หมายปองของพี่น้องตระกูลเลนด้วย

แต่คณะกรรมการในสำนักพิมพ์ The Bodley Head ไม่เห็นด้วย สามพี่น้องจึงทำเป็นโปรเจกต์ทดลองด้วยการลงทุนเอง แล้วใช้ทรัพยากรของสำนักพิมพ์ผลิตหนังสือขึ้นมาก่อน

สามพี่น้องตระกูลเลน

แต่ทำไมถึงใช้ชื่อสัตว์มาเป็นชื่อสำนักพิมพ์ เรื่องนี้เกิดจากอัลเลนเห็นว่าในเยอรมนีมีสำนักพิมพ์ที่ชื่อว่า Albatross Book ซึ่งมาจากนกอัลบาทรอส เขาจึงบอกให้นักออกแบบวัย 21 ปี ชื่อว่า เอ็ดเวิร์ด ยัง ไปสวนสัตว์ลอนดอนเพื่อดูว่าจะมีสัตว์อะไรเป็นสัญลักษณ์บริษัทได้บ้าง

หลังกลับมาจากสวนสัตว์ ยังก็ได้ยื่นภาพร่างของ ‘เพนกวิน’ ให้อัลเลน จากนั้นพวกเขาก็หยิบเอา ‘นก’ ที่ไม่บินและว่ายน้ำได้มาเป็นสัญลักษณ์ของสำนักพิมพ์ Penguin Books

หนังสือเล่มแรกที่ตีพิมพ์คือผลงานวรรณกรรมแนวอาชญากรรมของอกาธา คริสตี้ ชื่อว่า The Mysterious Affair at Styles วางขายในราคา 6 เพนนี เทียบเท่ากับราคาบุหรี่หนึ่งซองในทศวรรษ 1935

“หนังสือวรรณกรรมชั้นดีไม่ควรแพงกว่าบุหรี่หนึ่งซอง” อัลเลนปฏิญาณเอาไว้ให้กับสำนักพิมพ์ของตัวเอง และเมื่อนำโปรเจกต์นี้ไปนำเสนอกับร้านขายปลีกรายใหญ่อย่าง Woolworths พวกเขาก็สั่งซื้อล็อตแรกล่วงหน้า 63,000 เล่ม

ในขณะที่ปฏิกิริยาของผู้อ่านเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ภายใน 4 วันหลังจากเปิดตัว Penguin Books ขายได้ 150,000 เล่ม สรุปจบในปี 1935 พวกเขาขายได้ 3 ล้านเล่ม ในปี 1946 บริษัทสามารถขายหนังสือเล่มที่หนึ่งร้อยล้านเล่มได้

ความสำเร็จในปีแรกของ Penguin Books ทำให้สามพี่น้องตระกูลเลนตัดสินใจแยกตัวออกจาก The Bodley Head แล้วไปเช่าใต้ดินของโบสถ์โฮลีทรินิตี้ทำเป็นโรงพิมพ์ เพราะราคาประหยัดกว่า พนักงานจึงต้องทำงานท่ามกลางหลุมศพบ้าง และโต๊ะบรรจุของก็อยู่ใต้ตะแกรงโลหะตรงหน้าแท่นบูชา

จุดเด่นอีกอย่างที่ทำให้คนเข้าถึง Penguin Books คือการดีไซน์ปกเน้นความเรียบง่ายแต่โดดเด่น เอกลักษณ์คือการคาดแถบสีบนหน้าปกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงประเภทหนังสือ เช่น สีส้ม คือ เรื่องแต่งทั่วไป สีเขียว คือ เรื่องแต่งแนวอาชญากรรม

สีน้ำเงินเข้ม คือ ประวัติบุคคล สีชมพู คือ การเดินทางและท่องเที่ยว สีแดง คือ เรื่องแต่งแนวดราม่า สีม่วง คือ บทความ สีเทา คือ การเมืองโลก สีเหลือง คือ เบ็ดเตล็ด

ตรงกลางของปกปูด้วยพื้นหลังสีขาว พร้อมใส่ชื่อเรื่องและชื่อนักเขียนโดยใช้ฟอนต์ Gill Sans ที่อ่านง่ายและสะดุดตา ถึงอย่างนั้น ก็ว่ากันว่า ขนาดหนังสือของ Penguin Books ใช้ ‘อัตราส่วนทองคำ’ 1.618:1 ซึ่งนิยมใช้ในงานศิลปะและสถาปัตยกรรมในการสร้าง มหาวิหารนอร์เทอ ดาม, พระราชวังทัช มาฮาล และผลงานของดาลี ชื่อว่า The Sacrament of the Last Supper

การออกแบบที่เรียบง่ายเช่นนี้ส่งผลดีทั้งต่อการทำความเข้าใจของผู้อ่าน โดดเด่นออกจากปกนิตยสารอื่นๆ ที่มักเป็นรูปวาด และง่ายต่อการผลิตหนังสือราคาถูก ทำให้หน้าปกสีของ Penguin Books กลายเป็น ‘แบรนดิง’ ของสำนักพิมพ์ไปด้วย

Penguin Books สำนักพิมพ์ที่เบลอเส้นแบ่งการอ่านระหว่างชนชั้นในอังกฤษ

ต่อจาก The Mysterious Affair at Styles ของอกาธา คริสตี้ สำนักพิมพ์ Penguin Books ยังผลิตวรรณกรรมขึ้นหิ้งในรูปแบบปกอ่อนอีกหลายเล่ม ทั้ง A Farewell To Arm โดย เออเนสต์ เฮมิงเวย์ (ปกคาดแถบสีส้ม) Some Experiences of A New Guinea Resident Magistrate โดย ซี.เอ.ดับเบิลยู มองตัน (คาดแถบสีชมพู) The Important of Being Earnest and Lady Windermere’s Fan โดยออสการ์ ไวลด์ (คาดแถบสีส้ม)

ความสำเร็จของงานวรรณกรรม ยังทำให้พี่น้องตระกูลเลนตัดสินใจเปิดซีรีส์หนังสือแนวอื่นๆ เช่น หนังสือความรู้ ซึ่งใช้ชื่อว่า Pelican Series (ซีรีส์นกกระทุง) รวมถึงการจัดทำหนังสือการเมือง และหนังสือศิลปะที่มีรูปเล่มต่างออกไปจากหนังสือวรรณกรรมก่อนหน้านี้

ในปี 1946 E.V. Rieu นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดวางแผนที่จะนำ The Odyssey โดย โฮเมอร์มาถ่ายทอดเป็นสำนวนที่ผู้อ่านยุคใหม่สามารถเข้าใจได้ นั่นทำให้ Penguin Books หยิบ The Odyssey ฉบับที่รอยเรียบเรียงในรูปแบบร้อยแก้วมาตีพิมพ์ครั้งแรก

ความพยายามของ Penguin Books ที่ต้องการให้หนังสือเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของชนชั้นแรงงานยังทำให้อัลเลนคิดค้นนวัตกรรม Penguincubator เครื่องกดหนังสือเพนกวินที่บรรจุหนังสือกว่า 31 เรื่องในปี 1937 โดยนำไปตั้งในร้านขายยาสูบและร้านค้าปลีกเพื่อเข้าถึงคนมากขึ้น

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นโอกาสในความก้าวหน้าอย่างถึงที่สุดของ Penguin Books เนื่องจากความต้องการหนังสือสูงมาก แต่วัสดุสำหรับพิมพ์หนังสือนั้นหายากมาก สิ่งที่พี่น้องตระกูลเลนทำคือ ในปี 1940 พวกเขาได้ทำสัญญากับกระทรวงพัสดุ กองทัพแคนาดาเพื่อจัดหาหนังสือให้กับทหารแลกกับการได้กระดาษมาทำงานจำนวนหลายตัน ในปี 1941 พวกเขายังทำข้อตกลงเพิ่มเติมกับกระทรวงกลาโหมของอังกฤษด้วย ทำให้ Penguin Books กลายเป็นสำนักพิมพ์ที่ผูกขาดการผลิตหนังสือให้กับทหาร

ที่สำคัญคือ พี่น้องตระกูลเลนยังได้ทำสัญญากับ แฮร์โรลด์ นิโคลสัน นักเขียนและนักการทูตในสภาอังกฤษที่จะเผยแพร่หนังสือชื่อว่า ‘ทำไมบริเตนถึงเข้าร่วมสงคราม’ โดยระบุเหตุผลว่าทำไมอังกฤษต้องทำทุกวิถีทางให้นาซีเยอรมนีพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้ให้ได้ ซึ่งมียอดขายกว่า 100,000 ฉบับ และยังเป็นหนังสือที่กระจายในหมู่ทหารอังกฤษ และยังมีการจัดกลุ่ม Armed Forces Book Club ในปี 1946 ด้วย

ต่อมารัฐบาลได้เห็นว่าหนังสือสามารถมีบทบาทสำคัญในสงครามได้ ดังนั้น จึงเริ่มจัดสรรกระดาษให้ Penguin Books มากกว่าสำนักอื่นๆ โดยอัลเลน ผู้กุมบังเหียนสำนักพิมพ์ในปีนั้นได้ตัดสินใจตีพิมพ์หนังสือที่รัฐบาลแนะนำ หนึ่งในหนังสือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ การจำแนกประเภทของอากาศยาน

โฮป การ์เน็ตต์ ระบุในบทความวิชาการนิตยสาร The Journal of Publishing Culture ว่า พี่น้องตระกูลเลนและ Penguin Books ไม่ใช่ผู้ริเร่ิมทำหนังสือปกอ่อนที่เข้ามาเป็นนวัตกรรมของโลก เพราะก่อนหน้านี้มีสำนักพิมพ์หลายเจ้าที่ผลิตหนังสือปกอ่อนมาแล้ว เช่น Albatross Books สำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในเยอรมนีตั้งแต่ปี 1932 ซึ่งอัลเลนพยายามใช้ชื่อสัตว์แบบเดียวกัน

แต่การ์เน็ตต์ระบุว่า ความมุ่งมั่นในการจะเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจากการขายหนังสือราคาถูก คุณภาพดีของเลน ทำให้ Penguin Books ค่อยๆ ขยายตัวทางวัฒนธรรม และเปลี่ยนวิถีการอ่านในอังกฤษ ส่งผลให้เส้นแบ่งในการเข้าถึงความรู้ระหว่างชนชั้นพร่าเลือน คนชนชั้นแรงงานสามารถเข้าถึงวรรณกรรมชั้นดี และองค์ความรู้ในแบบเดียวกับที่ชนชั้นสูงรับรู้ได้

นอกจากนี้ Penguin Books ยังตีพิมพ์หนังสือที่ท้าทายความเชื่อเดิมในสังคม ปี 1960 อัลเลนตัดสินใจตีพิมพ์ Lady Chatterley's Lover โดย ดี.เอช. ลอว์เรนซ์ วรรณกรรมที่มีการสื่อสารทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง นำมาซึ่งการฟ้องร้องในคดีอนาจารในที่สาธารณะตามพระราชบัญญัติสิ่งพิมพ์อนาจารปี 1959 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการตีพิมพ์เนื้อหาที่อาจถูกมองว่าเป็นการเสื่อมทรามหรือทุจริต คดีนี้จึงมีชื่อว่า R v Penguin Books Ltd.

การพิจารณาคดีนี้ช่วยกระตุ้นยอดขายหนังสืออย่างน้อย 3.5 ล้านเล่ม และ Penguin Books ชนะคดีนี้ ทำให้พวกเขาเป็นสำนักพิมพ์ที่ทลายกำแพงการเซ็นเซอร์หนังสือในสหราชอาณาจักร

Penguin Books ปิดประวัติศาสตร์สำนักพิมพ์อิสระใน 77 ปี และเริ่มต้นใหม่ในฐานะ Penguin Random House

หากสำรวจหนังสือของสำนักพิมพ์แห่งนี้ในปัจจุบัน จะเห็นว่าพวกเขาเขยิบออกจากการทำหนังสือกระทัดรัดไปสู่รูปแบบหนังสือที่ร่วมสมัยมากกว่าแล้ว

ยิ่งถ้าคุณเดินเข้าร้านหนังสือภาษาอังกฤษ แล้วไล่เรียงไปทุกหมวด เราจะเห็นตัวเพนกวิน ทั้งนิทานก่อนนอน หนังสือสอนทำอาหาร หนังสือที่จุดประกายความคิด หนังสือที่จุดประกายการถกเถียงและการโต้แย้งของสังคม ทั้งนำเสนอเรื่องสงคราม รัฐสวัสดิการ เสรีภาพ ไปจนถึงพังก์ นับเป็นสำนักพิมพ์อังกฤษที่ดำเนินงานกว่า 70 ปีด้วยการผลิตหนังสือตอบโจทย์ความหลากหลายของสังคมไม่น้อย

ในปี 2013 Penguin Books ยังได้ควบรวมกิจการกับ Random House สำนักพิมพ์อเมริกาที่มีบริษัทแม่คือ Bertelsmann สื่อเยอรมนี โดยใช้ชื่อ Penguin Random House ทำให้พวกเขาเป็นบริษัทสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่กินพื้นที่ 1 ใน 4 ของตลาดหนังสือ โดยรายได้รวมของพวกเขาจะแตะถึง 2.5 พันล้านยูโร และกำไร 175 ล้านยูโร

จอห์น มาคินสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเพนกวินในขณะนั้นกล่าวว่า เหตุผลเบื้องหลังการเพิ่มขนาดเป็นสองเท่าก็เพื่อช่วยให้สำนักพิมพ์ทั้งสองแห่งสามารถเปลี่ยนผ่านจากการพิมพ์หนังสือไปสู่อีบุ๊กได้

การควบรวมเกิดขึ้นท่ามกลางอุตสาหกรรมหนังสือกำลังเผชิญความท้าทายจากผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Amazon ที่จำหน่าย e-book ได้ 114 เล่มต่อหนังสือที่พิมพ์ออกมาทุกๆ 100 เล่ม และเชนร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่มีสายป่านในการขายยาวกว่า ส่งผลให้ร้านหนังสืออิสระจำนวนมากต้องปิดตัวลง

แอนดรูว์ แฟรงคลิน ผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ขนาดเล็กอย่าง Profile Books กล่าวว่า ข้อตกลงระหว่าง Penguin Books และ Random House เป็นสิ่งที่ ‘น่าเสียดายอย่างยิ่ง’ สำหรับวงการสิ่งพิมพ์

“ความเชื่อผิดๆ ที่ว่าเมื่อรวมบริษัทที่ยอดเยี่ยมสองแห่งเข้าด้วยกัน จะกลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่กว่า สุดท้ายสิ่งนี้จะลงเอยด้วยการที่เพนกวินถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์” แฟรงคลินเชื่อว่า อัตลักษณ์ของ Penguin Books จะสูญหายไปจากการรวมบริษัทครั้งนี้ เพราะแม้ว่าบริษัทสิ่งพิมพ์เจ้าใหญ่มักโปรโมตว่าพวกเขาอยากเสนอความหลากหลายหรือความเป็นท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาเปรียบเทียบว่ามันเหมือนร้านสะดวกซื้ออย่างเทสโก้ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็หน้าตาคล้ายกันไปหมด

ทว่า เคท พูล รองเลขาธิการสมาคมนักเขียน กลับมองในแง่ดีว่า หากบริษัทรักษาคำมั่นสัญญาไว้ได้ว่าจะลงทุนเนื้อหาและหนังสืออย่างที่ควรจะเป็น นักเขียนก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก

"ถ้าพวกเขารักษาสัญญาไว้ได้จริงๆ ก็เป็นไปได้ว่าในระดับปฏิบัติงานทั่วไปอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าการควบรวมครั้งนี้แตกต่างอะไรสำหรับนักเขียน หากสำนักพิมพ์กำลังประสบปัญหาเพราะสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็ควรเน้นสิ่งที่เคยทำได้ดีมาตลอด อย่างเช่น การทำข้อตกลงสิทธิ์ให้ดี และการให้เงินล่วงหน้าที่เหมาะสม”

“เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์กำลังเผชิญอยู่ เรื่องนี้ก็แค่หยดหนึ่งในมหาสมุทรเท่านั้น" พูลกล่าว

เฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปี Penguin Books ด้วย 90 ผลงานคลาสสิก

แม้จะควบรวมเป็นบริษัทใหญ่แล้ว แต่ยังคงมีสำนักงานใหญ่ของ Penguin Books ในสหราชอาณาจักร ในวาระครบรอบ 90 ปี พวกเขายังได้ให้บรรณาธิการ Penguin Classics จำนวน 16 คน ร่วมกันคัดสรรหนังสือคลาสสิกกว่า 90 เล่มเพื่อนำมาออกแบบหน้าปกและนำเสนอใหม่

หนังสือเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่นักเขียนอย่างเจน ออสเตน, เลโอ ตอลสตอย, ชาลส์ ดิกเกนส์, ออสการ์ ไวลด์, จอร์จ ออร์เวลล์ ไปจนถึงหวัง เสี่ยวโป, จาง ไอหลิง, เซ โชนาง, วอลเตอร์ เบนจามิน โดยมีเนื้อหาตั้งแต่วรรณกรรมรัก กวี ครอบครัว เสรีภาพ รัฐสวัสดิการ สมรภูมิโบราณ สุสานผีสิง ไปจนถึงอวกาศ

ซีรีส์ชุดนี้ถูกออกแบบด้วยแนวคิดดั้งเดิมของ Penguin Books ที่ว่าปกเรียบง่ายแต่โดดเด่น โดยจิม สต็อดดาร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์กล่าวว่า ในวาระครบรอบ 90 ปี ทีม Penguin Classics ตั้งใจที่จะ ‘สร้างสรรค์จดหมายรัก’ ถึง Penguin Books

“ไม่ใช่แค่เฉลิมฉลองคุณภาพและความหลากหลายของนักเขียนที่ Penguin ตีพิมพ์เท่านั้น แต่เรายังต้องการเฉลิมฉลอง 90 ปีแห่งการออกแบบหนังสือของ Penguin ด้วย”

หนังสือแต่ละเล่มได้รับการออกแบบปกที่ไม่เหมือนกัน แต่ใช้สีแดงและขาวเหมือนกัน ซึ่งสต็อดดาร์ตมองว่าเป็นการสื่อถึงจิตวิญญาณของกระบวนการพิมพ์ยุคแรกเริ่มที่ใช้สีเพียงสีเดียว และคงธีมจดหมายรักด้วยการใช้ฟอยล์สีแดงเท่านั้น

“ในช่วงแรกๆ ผมได้ค้นคลังหนังสือของเพนกวินเพื่อดูว่าจะหาแม่แบบของปกที่สะท้อนถึงแต่ละทศวรรษได้ไหม แต่พอเปิดไปเรื่อยๆ ผมก็มีรายชื่อปกหนังสือที่ชอบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมพบว่าผมสามารถสร้างปกหนังสือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ถึง 90 ปก โดยแต่ละปกจะสอดคล้องกับปีที่เพนกวินตีพิมพ์ผลงานครั้งแรกของนักเขียนแต่ละคน”

สต็อดดาร์ตออกแบบปกให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง ผู้แต่ง และช่วงเวลาตีพิมพ์ครั้งแรก โดยใช้ตัวอักษรเป็นสื่อกลางเพื่อสะท้อนยุคสมัยนั้นๆ พร้อมทั้งยังใช้แบบปกหนังสือร่างแรกๆ ของเพนกวิน และโลโก้ที่วาดด้วยมือ ไปจนถึงตัวอักษรในอดีตมาใช้งานด้วย

ด้วยจิตวิญญาณของกระบวนการพิมพ์ยุคแรกเริ่ม ทีมงานจึงตัดสินใจใช้สีเพียงสีเดียว โดยยังคงธีมของจดหมายรักไว้ ฟอยล์สีแดง หรือที่รู้จักกันในชื่อสีแห่งความรัก เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการประทับลงบนแผ่นกระดาษปกเปล่า ส่วนการออกแบบอื่นๆ ล้วนแล้วแต่สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง ผู้แต่ง และช่วงเวลาที่หนังสือแต่ละเล่มได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรก

“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ยืนอยู่บนบ่าของเหล่านักออกแบบระดับยักษ์ใหญ่เหล่านี้ เพื่อจุดประกายปกหนังสืออันเป็นที่รักและเป็นสัญลักษณ์ในช่วง 90 ปีที่ผ่านมา” สต็อดดาร์ตกล่าว

นอกจากนี้ ทีมงานของ Penguin Books ยังจัดทำเนื้อหาหนังสือจากสำนักพิมพ์ที่ทรงอิทธิพลต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็น 10 หนังสือจาก Penguin Books ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ป๊อปคัลเจอร์ (เช่น 1984 โดยจอร์จ ออร์เวล และ The Odyssey ฉบับร้อยแก้ว โดยโฮเมอร์และ E.V. Rieu) 13 หนังสือจาก Penguin Books ที่หล่อหลอมคนรุ่นใหม่ (เช่น The Fault in Our Stars โดยจอห์น กรีน) หนังสือที่พาคนอ่านไปทำความเข้าใจแนวคิดการเมือง (เช่น One Day in the Life of Ivan Denisovich โดย อะเลคซันดร์ โซลเซนิตซิน)

สำนักพิมพ์ Penguin Books ยังเปิดโกดังหนังสือที่เป็นที่ตั้งของห้องสมุดและหอจดหมายเหตุเพนกวิน แรนดอม เฮาส์ ในชานเมืองรัชเดนของสหราชอาณาจักรให้คนทั่วไปได้เข้าไปชมอีกด้วย ภายในประกอบด้วยหนังสือกว่า 1.5 ล้านเล่มจากนักเขียนชื่อดังระดับโลก ทั้งอกาธา คริสตี้, เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์, โรอัลด์ ดาห์ล และจิลลี คูเปอร์ รวมถึงเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Penguin Books โดยเฉพาะ ‘สัญญา’ การพิมพ์หนังสือระหว่างสำนักพิมพ์กับนักเขียนชื่อดัง รวมถึงการโต้ตอบกันระหว่างบรรณาธิการและนักเขียนด้วย

"สิ่งที่ทำให้ Penguin อยู่ยืนยาวได้ก็เพราะพวกเขาเชื่อว่าหนังสือควรเป็นของทุกคน คุณจะไม่มีวันกล้าทำสิ่งแหวกแนว เช่น การบุกเบิกนิยายไซไฟสู่ตลาดกระแสหลักในยุค 60 หรือการตีพิมพ์นิยายรักเร่าร้อนสุดโด่งดังในยุค 80 ได้เลย ถ้าคุณไม่เชื่อในสิ่งนี้" ไซนาบ จูมา หัวหน้าฝ่ายแบรนด์ของ Penguin Books กล่าว

“และนั่นคือเรื่องราวของเพนกวิน” เธอย้ำปิดท้าย

อ้างอิง: creativereview.co.uk, nytimes.com, theguardian.com, mrsblackwell.com, theguardian.com, theguardian.com, 99percentinvisible.org, journalpublishingculture.weebly.com, thesilverlocket.com, bbc.com

บทความต้นฉบับได้ที่ : 90 Years of Penguin Books สำนักพิมพ์ที่กระจายวรรณกรรมสู่วงกว้าง เพราะเชื่อว่าหนังสือที่ดีไม่ควรแพงกว่าบุหรี่หนึ่งซอง

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

เพราะอากาศแปรปรวนบ่อย มันทำให้ฉัน…

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สัญญาหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่างไทย-กัมพูชา มีความเสี่ยงถูกละเมิดมากแค่ไหน

1 วันที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

‘KFC ขอท้าคุณมาลิ้มรสความ ‘แซ่บ’ ในเฟสติวัลครั้งใหม่!’

GM Live

เหนื่อยล้า ตาคล้ำ ผิวซีด! เมคอัพสไตล์สาวเหนื่อยมาแรง โดนใจเจน Z

กรุงเทพธุรกิจ

ว่างแต่ไม่พร้อมคุย ไม่ได้ละเลยแต่ลืมตอบแชต อะไรทำให้เราเป็นแบบนี้?

The MATTER

งาน "Jurassic World: The Experience Bangkok" ตะลุยโลกไดโนเสาร์ที่เอเชียทีค

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

SEVENTEEN บริจาคเงินกว่า 8 ล้านบาทให้แก่ UNESCO จากการประมูลบนแพลตฟอร์ม JOOPITER

THE STANDARD

พี่ชายฝรั่ง ติดใจข้าวมันไก่ ร้านในตำนานของไทย โพสต์รีวิว ไม่เคยกินไก่ที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน

CatDumb

ข่าวและบทความยอดนิยม

ASEAN POP MUSIC ชวนฟัง10 เพลงป๊อปจาก 10 ประเทศอาเซียน

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

สัญญาหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่างไทย-กัมพูชา มีความเสี่ยงถูกละเมิดมากแค่ไหน

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

90 Years of Penguin Books สำนักพิมพ์ที่กระจายวรรณกรรมสู่วงกว้าง เพราะเชื่อว่าหนังสือที่ดีไม่ควรแพงกว่าบุหรี่หนึ่งซอง

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...