สัญญาหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่างไทย-กัมพูชา มีความเสี่ยงถูกละเมิดมากแค่ไหน
การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2025 จบลงด้วย ‘ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ’ ในรายละเอียดแต่ละข้อนั้นดูเหมือนเป็นสัญญาณเชิงบวกที่จะปูทางไปสู่ความสงบ หลังจากทั้งสองชาติซึ่งเป็นคู่รักคู่แค้นกันมายาวนานตลอดประวัติศาสตร์ก่อเหตุปะทะกันตามแนวชายแดนจนเป็นเหตุให้ประชาชนและทหารของทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
แต่หากพิจารณาจากท่าทีของคู่กรณีและสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ เช่น ยังปรากฏว่ามีทหารไทยเดินเหยียบกับระเบิด แม่ทัพของไทยยังแสดงเจตนาที่จะบุกยึดพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดน พร้อมด้วยวาทกรรม ข้อกล่าวหา ข่าวสารที่ผิดเพี้ยนโต้ตอบกันไปมา ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สัญญาสงบศึกฉบับนี้ยังคงมีความเปราะบางอย่างยิ่ง มีความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดจากทั้งสองฝ่ายพอๆ กัน โดยที่กลุ่มอาเซียนและประเทศที่เป็นสักขีพยานอย่างสหรัฐฯ และจีนยังไม่สามารถออกมาตรการมาป้องกันความเสี่ยงเหล่านั้นได้เลย
ในบรรดาข้อตกลงทั้ง 13 ข้อ จะพบว่ามีประเด็นสำคัญที่นำมาเป็นเกณฑ์พิจารณาเพื่อประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดการละเมิดข้อตกลงได้ดังต่อไปนี้
1. การปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงด้วยอาวุธทุกชนิด
ทั้งสองประเทศมีโอกาสและความเสี่ยงเท่าๆ กันที่จะละเมิดข้อตกลงหลัก เนื่องจากยังไม่มีฝ่ายใดสามารถบรรลุเป้าหมายหลักตามที่ต้องการ ในขณะกัมพูชาต้องการใช้ความขัดแย้งทางทหารครั้งนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากนานาชาติในระดับที่จะบีบให้ไทยยอมรับให้นำพื้นที่พิพาท 4 จุด คือ สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาควาย ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ส่วนฝ่ายไทยก็ต้องการใช้กำลังทางทหารที่เหนือกว่าเพื่อ ‘กำราบ’ กัมพูชาให้อยู่มือ
2. การวางกำลัง
ความตกลงที่อ้างอิงถึงการประชุมระดับหัวหน้ารัฐบาลเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ให้คงกำลังทหารเอาไว้ที่เดิม ห้ามลาดตระเวนเข้าไปในแนวปฏิบัติการของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายมีโอกาสที่จะละเมิดพอๆ กัน เนื่องจากเขตแดนในพื้นที่ซึ่งเป็นเขตพิพาทนั้นยังไม่มีความชัดเจน ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าเป็นพื้นที่ในเขตอำนาจอธิปไตยของตัวเอง และบริเวณซึ่งเรียกว่าแนวปฏิบัติการของแต่ละฝ่ายก็มีความไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา มีความเป็นไปได้ว่า การตระเวนตามปกติก็อาจจะก่อให้เกิดข้อกล่าวหาว่าอีกฝ่ายรุกล้ำดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งได้
3. การเสริมกำลัง
พิจารณาภาษาและท่าทีของผู้นำทางทหารของไทย โดยเฉพาะแม่ทัพกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการยึดปราสาทตาควาย ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าอยู่ในเขตของใคร หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดข้อตกลงเรื่องการเสริมกำลังทหารอย่างยิ่ง เพราะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าฝ่ายไทยยังไม่ละความพยายามในการบุกยึดพื้นที่บริเวณนั้น และถ้าหากต้องการให้บรรลุเป้าหมายก็มีความจำเป็นจะต้องเสริมกำลังทหารอย่างแน่นอน
4. ความยืดเยื้อ
ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจะไม่ปฏิบัติการใดๆ อันจะเป็นการยั่วยุทางทหาร ซึ่งนั่นก็หมายรวมถึงการใช้อากาศยานบินล่วงล้ำน่านฟ้า การรุกเข้าไปในพื้นที่ซึ่งอีกฝ่ายตั้งมั่นอยู่ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม และการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารใดๆ ในพื้นที่หรือบริเวณใกล้เคียง แต่การที่กองทัพไทยรับมอบอากาศยานไร้คนขับ (drone) จากภาคเอกชน หรือการที่กองทัพภาคที่ 2 แสดงเจตนาเร่งการพัฒนาเส้นทางในพื้นที่บริเวณภูจองนายอยและในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม จังหวัดอุบลราชธานี ในเวลาที่มีความตึงเครียดตามแนวชายแดนเช่นนี้ มีโอกาสที่จะถูกอีกฝ่ายหนึ่งตีความว่าเป็นการทำการยั่วยุได้
5. การคุ้มครองพลเรือน
ตามข้อตกลงที่เน้นหลายครั้งหลายครา (ทั้งในข้อ 1 และ 5) ว่าห้ามใช้กำลังโจมตีพลเรือนหรือทรัพย์สินของพลเรือนในทุกกรณี มีความเสี่ยงอย่างสูงที่ฝ่ายกัมพูชาจะละเมิดมากกว่าไทย เพราะเคยได้กระทำการดังกล่าวระหว่างที่มีการปะทะกันระหว่างวันที่ 24-28 กรกฎาคม เพื่อให้การบังคับใช้ข้อตกลงนี้มีประสิทธิผล ดูเหมือนฝ่ายกัมพูชามีภาระที่ต้องพิสูจน์มากกว่าฝ่ายไทยว่าจะต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด
6. มนุษยธรรม
ในข้อ 6 ของข้อตกลงหยุดยิงนั้นได้เน้นย้ำอย่างหนักแน่นและละเอียดละออถึงหลักการให้ความคุ้มครองทหารที่ถูกจับกุมหรือเชลยศึก อีกทั้งการให้บริการทางการแพทย์ต่อพลเมืองของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งทหารและพลเรือน จะต้องเป็นไปตามหลักการพื้นฐานทางด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ
ฝ่ายไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะละเมิดข้อนี้ เนื่องจากเวลานี้ได้ควบคุมทหารกัมพูชาเอาไว้จำนวนหนึ่ง และทางการกัมพูชาเรียกร้องให้ปล่อยตัว อีกทั้งโรงพยาบาลของไทยเคยได้ออกประกาศว่าไม่สามารถให้บริการแก่คนไข้ชาวกัมพูชาในสถานการณ์ที่มีเหตุปะทะกันตามแนวชายแดน
7. การควบคุมข่าวสารข้อมูล
ทั้งสองฝ่ายมีแรงจูงใจที่เหมือนกันในอันที่ใช้ข่าวสารข้อมูลตอบโต้กัน ทั้งเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำลายขวัญกำลังใจของฝ่ายตรงข้าม และเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปฏิบัติการทางทหาร ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดการละเมิดข้อตกลงสูงมาก
ฝ่ายไทยมีความเสี่ยงมากกว่าเนื่องจากใช้บริการของดารา อินฟลูเอ็นเซอร์ ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การสื่อสารเพื่อความมั่นคงและการระหว่างประเทศน้อย อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการสื่อสารได้ง่าย โดยทางการของไทยไม่มีขีดความสามารถในการควบคุมหรือแก้ไขความผิดพลาดเหล่านั้น ส่วนกัมพูชาอาจจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า เนื่องจากทางการมีความสามารถในการควบคุมข่าวสารได้มากกว่าความผิดพลาดในการสื่อสารใดๆ ย่อมอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐมากกว่าฝ่ายไทย
แม้ว่ามาเลเซีย ในฐานะผู้อำนวยความสะดวกให้เกิดข้อตกลงหยุดยิง จะนำเสนอกลไกในการตรวจสอบติดตามการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว แต่ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง กว่าที่ผู้สังเกตการณ์และกลไกตรวจสอบเช่นว่านั้นจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
ทีมผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ช่วยทูตทหารจากประเทศอาเซียนที่ประจำอยู่ทั้งในไทยและกัมพูชา ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ชั่วคราว โดยการประสานงานของมาเลเซีย แต่จะทำหน้าที่เป็นอิสระจากกัน แน่นอนว่าอยู่ภายใต้การควบคุมและความยินยอมของประเทศคู่กรณี เช่นนั้นไม่อาจจะมั่นใจได้ว่าจะสามารถติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด
เพื่อเป็นการรับประกันว่าสัญญาสงบศึกระหว่างไทยและกัมพูชาจะได้รับการปฏิบัติอย่างเต็มประสิทธิภาพ มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนและในฐานะผู้อำนวยความสะดวก จะต้องเร่งประสานงานกับประเทศผู้สังเกตการณ์รายสำคัญ คือสหรัฐฯ และจีน ในการออกมาตรการ หรือหากจำเป็นต้องใช้อำนาจและอิทธิพลใดๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร และการทูต เพื่อบีบบังคับให้คู่กรณีต้องปฏิบัติตามข้อตกลงให้บรรลุผล ก็ต้องดำเนินการสุดความสามารถ ทั้งนี้ไม่เพียงแต่เห็นแก่สันติสุขของประชาชนในประเทศคู่กรณี แต่เพื่อสร้างฐานะและบทบาทของกลุ่มอาเซียนเองในการรักษาสันติภาพในภูมิภาคอีกด้วย
บทความต้นฉบับได้ที่ : สัญญาหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่างไทย-กัมพูชา มีความเสี่ยงถูกละเมิดมากแค่ไหน
บทความที่เกี่ยวข้อง
- คุยกับ กษิร ชีพเป็นสุข บทสนทนาว่าด้วยเรื่อง ‘อาเซียน’ เมื่อการร่วมใจของเอเชียอาคเนย์ เต็มไปด้วยความท้าทายและข้อจำกัด
- 71 ปี บังคับสูญหาย ‘หะยีสุหลง’ ผู้นำคนสำคัญของปาตานี
- The Decorum: ร้านสูทที่มอง ‘ความคลาสสิก’ เป็นเสาหลัก แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของพวกเขา
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath