โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

สัญญาหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่างไทย-กัมพูชา มีความเสี่ยงถูกละเมิดมากแค่ไหน

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

อัพเดต 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2025 จบลงด้วย ‘ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ’ ในรายละเอียดแต่ละข้อนั้นดูเหมือนเป็นสัญญาณเชิงบวกที่จะปูทางไปสู่ความสงบ หลังจากทั้งสองชาติซึ่งเป็นคู่รักคู่แค้นกันมายาวนานตลอดประวัติศาสตร์ก่อเหตุปะทะกันตามแนวชายแดนจนเป็นเหตุให้ประชาชนและทหารของทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก

แต่หากพิจารณาจากท่าทีของคู่กรณีและสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ เช่น ยังปรากฏว่ามีทหารไทยเดินเหยียบกับระเบิด แม่ทัพของไทยยังแสดงเจตนาที่จะบุกยึดพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดน พร้อมด้วยวาทกรรม ข้อกล่าวหา ข่าวสารที่ผิดเพี้ยนโต้ตอบกันไปมา ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สัญญาสงบศึกฉบับนี้ยังคงมีความเปราะบางอย่างยิ่ง มีความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดจากทั้งสองฝ่ายพอๆ กัน โดยที่กลุ่มอาเซียนและประเทศที่เป็นสักขีพยานอย่างสหรัฐฯ และจีนยังไม่สามารถออกมาตรการมาป้องกันความเสี่ยงเหล่านั้นได้เลย

ในบรรดาข้อตกลงทั้ง 13 ข้อ จะพบว่ามีประเด็นสำคัญที่นำมาเป็นเกณฑ์พิจารณาเพื่อประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดการละเมิดข้อตกลงได้ดังต่อไปนี้

1. การปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงด้วยอาวุธทุกชนิด

ทั้งสองประเทศมีโอกาสและความเสี่ยงเท่าๆ กันที่จะละเมิดข้อตกลงหลัก เนื่องจากยังไม่มีฝ่ายใดสามารถบรรลุเป้าหมายหลักตามที่ต้องการ ในขณะกัมพูชาต้องการใช้ความขัดแย้งทางทหารครั้งนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากนานาชาติในระดับที่จะบีบให้ไทยยอมรับให้นำพื้นที่พิพาท 4 จุด คือ สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาควาย ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ส่วนฝ่ายไทยก็ต้องการใช้กำลังทางทหารที่เหนือกว่าเพื่อ ‘กำราบ’ กัมพูชาให้อยู่มือ

2. การวางกำลัง

ความตกลงที่อ้างอิงถึงการประชุมระดับหัวหน้ารัฐบาลเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ให้คงกำลังทหารเอาไว้ที่เดิม ห้ามลาดตระเวนเข้าไปในแนวปฏิบัติการของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายมีโอกาสที่จะละเมิดพอๆ กัน เนื่องจากเขตแดนในพื้นที่ซึ่งเป็นเขตพิพาทนั้นยังไม่มีความชัดเจน ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าเป็นพื้นที่ในเขตอำนาจอธิปไตยของตัวเอง และบริเวณซึ่งเรียกว่าแนวปฏิบัติการของแต่ละฝ่ายก็มีความไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา มีความเป็นไปได้ว่า การตระเวนตามปกติก็อาจจะก่อให้เกิดข้อกล่าวหาว่าอีกฝ่ายรุกล้ำดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งได้

3. การเสริมกำลัง

พิจารณาภาษาและท่าทีของผู้นำทางทหารของไทย โดยเฉพาะแม่ทัพกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการยึดปราสาทตาควาย ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าอยู่ในเขตของใคร หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดข้อตกลงเรื่องการเสริมกำลังทหารอย่างยิ่ง เพราะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าฝ่ายไทยยังไม่ละความพยายามในการบุกยึดพื้นที่บริเวณนั้น และถ้าหากต้องการให้บรรลุเป้าหมายก็มีความจำเป็นจะต้องเสริมกำลังทหารอย่างแน่นอน

4. ความยืดเยื้อ

ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจะไม่ปฏิบัติการใดๆ อันจะเป็นการยั่วยุทางทหาร ซึ่งนั่นก็หมายรวมถึงการใช้อากาศยานบินล่วงล้ำน่านฟ้า การรุกเข้าไปในพื้นที่ซึ่งอีกฝ่ายตั้งมั่นอยู่ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม และการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารใดๆ ในพื้นที่หรือบริเวณใกล้เคียง แต่การที่กองทัพไทยรับมอบอากาศยานไร้คนขับ (drone) จากภาคเอกชน หรือการที่กองทัพภาคที่ 2 แสดงเจตนาเร่งการพัฒนาเส้นทางในพื้นที่บริเวณภูจองนายอยและในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม จังหวัดอุบลราชธานี ในเวลาที่มีความตึงเครียดตามแนวชายแดนเช่นนี้ มีโอกาสที่จะถูกอีกฝ่ายหนึ่งตีความว่าเป็นการทำการยั่วยุได้

5. การคุ้มครองพลเรือน

ตามข้อตกลงที่เน้นหลายครั้งหลายครา (ทั้งในข้อ 1 และ 5) ว่าห้ามใช้กำลังโจมตีพลเรือนหรือทรัพย์สินของพลเรือนในทุกกรณี มีความเสี่ยงอย่างสูงที่ฝ่ายกัมพูชาจะละเมิดมากกว่าไทย เพราะเคยได้กระทำการดังกล่าวระหว่างที่มีการปะทะกันระหว่างวันที่ 24-28 กรกฎาคม เพื่อให้การบังคับใช้ข้อตกลงนี้มีประสิทธิผล ดูเหมือนฝ่ายกัมพูชามีภาระที่ต้องพิสูจน์มากกว่าฝ่ายไทยว่าจะต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด

6. มนุษยธรรม

ในข้อ 6 ของข้อตกลงหยุดยิงนั้นได้เน้นย้ำอย่างหนักแน่นและละเอียดละออถึงหลักการให้ความคุ้มครองทหารที่ถูกจับกุมหรือเชลยศึก อีกทั้งการให้บริการทางการแพทย์ต่อพลเมืองของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งทหารและพลเรือน จะต้องเป็นไปตามหลักการพื้นฐานทางด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ

ฝ่ายไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะละเมิดข้อนี้ เนื่องจากเวลานี้ได้ควบคุมทหารกัมพูชาเอาไว้จำนวนหนึ่ง และทางการกัมพูชาเรียกร้องให้ปล่อยตัว อีกทั้งโรงพยาบาลของไทยเคยได้ออกประกาศว่าไม่สามารถให้บริการแก่คนไข้ชาวกัมพูชาในสถานการณ์ที่มีเหตุปะทะกันตามแนวชายแดน

7. การควบคุมข่าวสารข้อมูล

ทั้งสองฝ่ายมีแรงจูงใจที่เหมือนกันในอันที่ใช้ข่าวสารข้อมูลตอบโต้กัน ทั้งเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำลายขวัญกำลังใจของฝ่ายตรงข้าม และเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปฏิบัติการทางทหาร ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดการละเมิดข้อตกลงสูงมาก

ฝ่ายไทยมีความเสี่ยงมากกว่าเนื่องจากใช้บริการของดารา อินฟลูเอ็นเซอร์ ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การสื่อสารเพื่อความมั่นคงและการระหว่างประเทศน้อย อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการสื่อสารได้ง่าย โดยทางการของไทยไม่มีขีดความสามารถในการควบคุมหรือแก้ไขความผิดพลาดเหล่านั้น ส่วนกัมพูชาอาจจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า เนื่องจากทางการมีความสามารถในการควบคุมข่าวสารได้มากกว่าความผิดพลาดในการสื่อสารใดๆ ย่อมอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐมากกว่าฝ่ายไทย

แม้ว่ามาเลเซีย ในฐานะผู้อำนวยความสะดวกให้เกิดข้อตกลงหยุดยิง จะนำเสนอกลไกในการตรวจสอบติดตามการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว แต่ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง กว่าที่ผู้สังเกตการณ์และกลไกตรวจสอบเช่นว่านั้นจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

ทีมผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ช่วยทูตทหารจากประเทศอาเซียนที่ประจำอยู่ทั้งในไทยและกัมพูชา ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ชั่วคราว โดยการประสานงานของมาเลเซีย แต่จะทำหน้าที่เป็นอิสระจากกัน แน่นอนว่าอยู่ภายใต้การควบคุมและความยินยอมของประเทศคู่กรณี เช่นนั้นไม่อาจจะมั่นใจได้ว่าจะสามารถติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด

เพื่อเป็นการรับประกันว่าสัญญาสงบศึกระหว่างไทยและกัมพูชาจะได้รับการปฏิบัติอย่างเต็มประสิทธิภาพ มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนและในฐานะผู้อำนวยความสะดวก จะต้องเร่งประสานงานกับประเทศผู้สังเกตการณ์รายสำคัญ คือสหรัฐฯ และจีน ในการออกมาตรการ หรือหากจำเป็นต้องใช้อำนาจและอิทธิพลใดๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร และการทูต เพื่อบีบบังคับให้คู่กรณีต้องปฏิบัติตามข้อตกลงให้บรรลุผล ก็ต้องดำเนินการสุดความสามารถ ทั้งนี้ไม่เพียงแต่เห็นแก่สันติสุขของประชาชนในประเทศคู่กรณี แต่เพื่อสร้างฐานะและบทบาทของกลุ่มอาเซียนเองในการรักษาสันติภาพในภูมิภาคอีกด้วย

บทความต้นฉบับได้ที่ : สัญญาหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่างไทย-กัมพูชา มีความเสี่ยงถูกละเมิดมากแค่ไหน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

มลายู อัตลักษณ์ที่ถูกกดขี่ สนทนากับฟาเดลล์ หะยีฮาระสะ ครูผู้เขียนหนังสือเรียนภาษา-วัฒนธรรมมลายู

15 ชั่วโมงที่ผ่านมา

71 ปี บังคับสูญหาย ‘หะยีสุหลง’ ผู้นำคนสำคัญของปาตานี

18 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

ฝนกระหน่ำต่อเนื่อง! วันนี้ทั่วไทยเจอฝน 60-70% ของพื้นที่

ไทยโพสต์

มรสุมถล่มไทย! 7 จังหวัดเฝ้าระวังฝนตกหนัก คลื่นลมแรง

สยามรัฐ

สื่อเขมรหลอนจัด!เอาภาพผู้บัญชาการทหารตรวจเยี่ยมชุดเก็บกู้ระเบิด ใส่ร้ายไทยประชุมวางแผนยั่วยุกัมพูชา

Manager Online

สภาพอากาศวันนี้ 41 พื้นที่ระวังฝนตกหนัก บางจังหวัดเสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน

PPTV HD 36

รอบรั้วการศึกษา (14 ส.ค.68)

สยามรัฐ

คดีลุงพล สะเทือนทุกวงการ! ผกก.เอกราช แนะ ควรยึดทรัพย์สินที่ได้มา

TOJO NEWS

พลังงานสะอาดขาดแคลน TDRI หวั่นลงทุนต่างชาติเผ่นหนี กระทุ้งเปิด TPA ซื้อขายไฟฟ้าเสรีรับมือ

ฐานเศรษฐกิจ

หุ่นยนต์แอนทิโลปสายลับ! เนียนเข้าฝูง ปกป้อง ‘แอนทิโลปทิเบต’ ใกล้ชิดไร้รบกวน

Xinhua

ข่าวและบทความยอดนิยม

คุยกับ กษิร ชีพเป็นสุข บทสนทนาว่าด้วยเรื่อง ‘อาเซียน’ เมื่อการร่วมใจของเอเชียอาคเนย์ เต็มไปด้วยความท้าทายและข้อจำกัด

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

71 ปี บังคับสูญหาย ‘หะยีสุหลง’ ผู้นำคนสำคัญของปาตานี

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

The Decorum: ร้านสูทที่มอง ‘ความคลาสสิก’ เป็นเสาหลัก แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของพวกเขา

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...