โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

มลายู อัตลักษณ์ที่ถูกกดขี่ สนทนากับฟาเดลล์ หะยีฮาระสะ ครูผู้เขียนหนังสือเรียนภาษา-วัฒนธรรมมลายู

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

อัพเดต 46 นาทีที่แล้ว • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

ภาพ:จิตติมา หลักบุญ

‘มลายู’ เป็นคำที่หลายคนคุ้นเคยและมักใช้คำนี้เรียกกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ตรงชายแดนใต้ของไทย ซึ่งปัจจุบันยังคงมีผู้คนใช้ ‘ภาษามลายู’ ในพื้นที่

แม้หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับภาษามลายูเท่าไหร่นักหากไม่ได้อยู่หรือรู้จักมักคุ้นกับชุมชนชาวมลายู แต่ภาษามลายูถือเป็น ‘ภาษาถิ่น’ ที่กำเนิดขึ้นบนดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งภาษาไทยที่พูดกันอยู่ในทุกวันนี้เองก็ได้รับอิทธิพลจากภาษามลายูด้วยเช่นกัน

เพียงแต่ก่อนที่จะกำเนิดความเป็นไทยที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ ภาษา วัฒนธรรม และอารยธรรมที่หลากหลายบนดินแดนอุษาคเนย์นี้ได้หลอมรวมกันเป็นตัวตนของคำว่า ‘ชาติ’ จนเอกลักษณ์บางอย่างเริ่มจางหายไปและผลักความแตกต่างเหล่านั้นให้กลายเป็นอื่น

ครั้งหนึ่งในอดีต จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขณะเป็นรัฐบาลใช้ความเป็นชาติในการปลุกระดมคนไทย ภายใต้การประกาศใช้ ‘รัฐนิยม’ ในปี 2482 เช่น การแต่งตัวและการใช้ภาษา โดยมุ่งหมายให้ชนกลุ่มน้อยในเขตแดนไทยหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว นโยบายรัฐนิยมถูกนำมาใช้กับคนจีน คนลาว และคนมลายู นอกจากนี้ยังมีกฎหมายต่างๆ ที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนา โดยเฉพาะการยกเลิกกฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก

ภายหลังจากจอมพล ป. หมดอำนาจลงไป หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ แกนนำนักเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิเพื่ออัตลักษณ์ชาวมุสลิมและคณะ เคยเสนอข้อร้องขอ 7 ข้อ ในปี 2490 โดยมีใจความส่วนหนึ่งระบุคำร้องขอให้การใช้หนังสือราชการเป็นภาษามลายูและให้มีการศึกษาภาษามลายูในโรงเรียนชั้นประถมใน 4 จังหวัด

ข้อร้องขอนี้ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกฯ ในขณะนั้นได้รับไว้ยกเว้นบางข้อเนื่องจากเกี่ยวข้องกับอำนาจการปกครอง และสุดท้ายข้อร้องขออื่นๆ ก็ดำเนินการไปอย่างล่าช้าและเลือนหายไปในที่สุด

แต่จากการเคลื่อนไหวของหะยีสุหลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเปลี่ยนผ่านหลายรัฐบาล ส่งผลให้หะยีสุหลงถูกจับกุมในข้อหา “ตระเตรียมและสมคบกันคิดการจะเปลี่ยนแปลงราชประเพณีการปกครอง” สมัยควง อภัยวงศ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรีและภายหลังการถูกปล่อยตัว เพียง 2 ปีให้หลัง เช้าวันที่ 13 สิงหาคม 2497 ในสมัยจอมพล ป. กลับมาขึ้นมาเป็นนายกฯ หะยีสุหลงพร้อมบุตรชาย และพวกรวม 4 คน เดินทางไปรายงานตัวกับหน่วยสันติบาลสงขลา จากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นทั้ง 4 คนอีก

“การหายตัวถูกยืนยันว่าเป็นการบังคับสูญหาย หรือการ ‘อุ้มหาย’ จริง ในยุค จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อมีการสอบสวนย้อนไปและได้ข้อสรุปว่า หะยีสุหลงและพวก ถูกสังหารตามคำสั่งรัฐบาล มีการระบุรายละเอียดถึงวิธีการรัดคอ คว้านท้อง ยัดเสาปูน เพื่ออำพรางศพ” ศาสตราจารย์ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เคยกล่าวไว้ในงานเสวนาประวัติศาสตร์ในหัวข้อ ‘ว่าด้วยประวัติศาสตร์ปาตานี’ ปี 2565

ปัจจุบันเรื่องราวของหะยีสุหลงยังคงเป็นตำนานเล่าขานและตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญในการรักษาอัตลักษณ์ของชาวมลายู แต่ผลพวงจากการกดทับอัตลักษณ์ในอดีตคือเรื่องจริงที่ส่งผลให้หลายคนห่างไกลจากความเป็นมลายู และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประวัติศาสตร์สยามและมลายู-ปัตตานีเกิดรอยร้าว

“หะยีสุหลงแสดงตัวชัดเจนว่าเขาเสนอ 7 หัวข้อแบบประชาธิปไตย ความคิดของหะยีสุหลงเมื่อหลายปีก่อนถือว่าล้ำหน้ามาก แต่ความคิดล้ำหน้านั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ส่วนกลางไม่สบายใจ ซึ่งเมื่อเกิดกรณีหะยีสุหลงขึ้นก็เริ่มมีองค์กรใต้ดินเกิดขึ้นนับตั้งแต่วันนั้น กลายเป็นขบวนการต่างๆ ขึ้นมา”

คือคำพูดของ ฟาเดลล์ หะยีฮาระสะ นักวิชาการอิสระและอาจารย์สอนภาษา-วัฒนธรรมมลายูและภาษาอาหรับ ที่เล่าถึงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งจนทำให้ปัจจุบันความเป็น ‘มลายู’ ถูกทำให้ห่างไกลผู้คนออกไปทุกที แต่ความจริงแล้ว ‘มลายู’ กลับสอดแทรกอยู่รอบตัวเราทั้งในภาษา ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและความสัมพันธ์ของผู้คนมาอย่างช้านาน

‘มลายู’ และ ‘ไทย’

“ตา ในภาษาไทย ภาษามลายูจะเรียก มาตา ส่วนคำว่าจมูก เป็นคำจากเขมร คำไทยใช้คำว่าดั้ง คำมลายูเรียก ฮีดุง (hidung) ถ้าออกเสียงหลายครั้งจะเพี้ยนเป็นฮิดั้งก็คำเดียวกัน” ฟาเดลล์เล่าถึงคำมลายูและคำไทยที่เรียกว่า ‘เป็นคำเดียวกัน’ โดยมีรูปแบบคำเหมือนกันคือภาษาไทยมีหนึ่งพยางค์ ส่วนภาษามลายูมีสองพยางค์

“บะฮัก ในภาษามลายูโบราณ เมื่อพูดซ้ำๆ หลายครั้งก็จะเพี้ยนเป็นคำว่า ปาก หรือภาษาไทยที่เรียกใบหน้าว่า มุข ภาษามลายูจะเรียกว่า มูกา, บาฮู ที่แปลว่า บ่า, กากี แปลว่า ขา, บุนตุด แปลว่า ก้น หรือ ตูด, เกินตด แปลว่า ตด นอกจากนี้ยังมีคำว่า ‘โจรสลัด’ ในอดีตพื้นที่ที่โจรสลัดมีอิทธิพลมากที่สุดคือช่องแคบมะละกา ภาษามลายูจะเรียกว่า เซอลัต เมอลากา (Selat Melaka) ซึ่งเซอลัต ก็คือ สลัด แปลว่าช่องแคบ ส่วนโจรสลัด ก็คือ โจรช่องแคบมะละกานั่นเอง”

คำอธิบายเหล่านี้ทำให้เห็นภาพชัดว่า ภาษาเป็นหลักฐานสำคัญของการลื่นไหลทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะภูมิภาคอุษาคเนย์ ที่หลายภาษามีการใช้คำซ้ำ พ้องกัน หรือกร่อนคำ แต่ยังมีความหมายเดียวกัน

ฟาเดลล์ผู้เติบโตในจังหวัดปัตตานีตั้งแต่เกิดยกตัวอย่างคำมากมายที่หลายคนคุ้นเคยพร้อมอธิบายว่า คำเหล่านี้มีมากเป็นร้อยๆ คำ ฉะนั้น ถ้าคนไทยเรียนภาษามลายูจะเรียนรู้ได้ไวเพราะมีคำสันสกฤตและรากคำเดิมเหมือนกัน ซึ่งคำไทยที่คนไทยฟังแล้วเข้าใจมาจากเสียงทางใต้ ไม่ได้มาจากเสียงมลายูมาตรฐานในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย

“ตอนผมสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง อาจารย์ประพนธ์ เรืองณรงค์ (อาจารย์และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญภาษาถิ่นใต้) มาถามข้อมูลจากผมและสุดท้ายท่านสรุปออกมาว่าคำว่า พัทยา เป็นคำมลายู เพราะคำบอกทิศในภาษามลายูจะมีคำว่า บารัตดายา (Barat Daya) แปลว่า ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อคำนี้พูดซ้ำหลายครั้งจะเพี้ยนและกร่อนคำไปคล้ายกับคำว่า พัทยา”

“นอกจากนี้ยังมีคำบอกทิศอื่นๆ เช่น อุตรดิตถ์ มาจากภาษามลายูจากคำว่าอูตารา (Utara) ที่แปลว่าทิศเหนือ ส่วนคำว่าสลาตัน (Selatan) แปลว่า ทิศใต้ หรือชื่อประเทศติมอร์-เลสเต แต่ก่อนเขาใช้คำว่า ติมอร์ ติมูร์ (Timor Timur) ซึ่งคำว่า ตีมูร์ แปลว่าทิศตะวันออก แต่ภายหลังเปลี่ยนมาใช้เป็นคำโปรตุเกสจึงกลายเป็น ติมอร์-เลสเต” ฟาเดลล์เล่า

สาระความรู้มากมายใกล้ตัวที่เราไม่ทันสังเกตพรั่งพรูออกมาอย่างน่าสนใจ พร้อมกับข้อสงสัยไปในตัวว่าทำไมเราจึงไม่เคยรับรู้สิ่งเหล่านี้มาก่อน จังหวะนั้นเองฟาเดลล์ได้นำหนังสือเกี่ยวกับภาษามลายูมากมายที่ระบุชื่อผู้เขียน ‘ฟาเดลล์ หะยีฮาระสะ’

ฟาเดลล์ วัย 46 ปี เล่าถึงประสบการณ์ก่อนมาเขียนหนังสือสอนภาษามลายูและอาหรับที่หลายสถาบันใช้เรียนในปัจจุบันว่า

“ผมมีภาษามลายูเป็นภาษาแม่ ซึ่งภาษาแม่ผมมี 2 คือภาษามลายูกับภาษาอาหรับ เพราะคุณแม่โตที่ซาอุดีอาระเบีย สมัยที่ผมเรียนตอนนั้นมีสถาบันสอนภาษามลายูอยู่ไม่กี่แห่งในประเทศไทย หลังจากผมจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์สาขาภาษามลายู ผมก็ไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง จากนั้นผมก็รับทุนไปเรียนมาเลเซีย ต่อมาก็กลับมาทำงานใช้ทุนจนหมดและเขียนหนังสือพวกนี้”

“เด็กบางคนไม่ได้รู้จักผมด้วยซ้ำ ผมไปเจอนักเรียนที่สุเหร่าแสนแสบในกรุงเทพฯ ใช้หนังสือภาษาอาหรับเล่มหนึ่งที่ผมเขียน ผมถามเด็กๆ ว่ารู้จักหรือเรียนหนังสือเล่มนี้ไหม เด็กบอกเขาเรียนเล่มนี้ แต่พอถามว่ารู้จักคนเขียนไหม เขาบอกไม่รู้จัก ผมเฉลยว่าครูนี่แหละคนเขียน (หัวเราะ)”

นอกจากการพูดภาษามลายูในชุมชนในชายแดนใต้ หนังสือเรียนถือเป็นสื่อสำคัญอย่างหนึ่งที่ส่งต่อองค์ความรู้ วัฒนธรรมและภาษามลายูให้กับเด็กๆ รุ่นใหม่ได้

“ผมเป็นครูโดยสายเลือด คุณทวดของผมเป็นราชครูที่วังยะหริ่งที่ปัตตานีและคุณปู่ก็มีสถาบันที่ปัตตานีชื่อมูลนิธิสมบูรณ์ศาสน์ปอเนาะดาลอ อำเภอยะหริ่ง เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงที่สุดในสามจังหวัดชายแดน เราทำเรื่องการศึกษาฟรีมาเป็น 100 ปี เพื่อสร้างคนให้เป็นคน”

ฟาเดลล์เล่าถึงแรงบันดาลใจในการสร้างตำราเรียนภาษามลายูพร้อมเล่าต่อว่านอกจากหนังสือเรียนแล้ว เขายังทำสติ๊กเกอร์ไลน์ ซอฟต์แวร์ที่เป็นบทเรียนและพจนานุกรมบนโลกออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กรุ่นใหม่ต่อไปว่า “ครูอายุปูนนี้แล้วยังทำได้ พวกเขาก็ทำได้และทำได้ดีกว่าผม”

อดีตของ ‘มลายู’ การถูกผลักให้เป็นอื่นสู่ความขัดแย้งในปัจจุบัน

แม้ ‘มลายู’ จะอยู่ในไทยหรือสยามมาตั้งแต่ในอดีต เปรียบเสมือนเครือญาติที่อยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนาน แต่การถูกผลักให้เป็นอื่น หรือบางครั้งพวกเขาถูกเรียกว่า ‘แขก’ เนื่องด้วยศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากคนจากส่วนกลาง ทำให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดในอดีตห่างไกลออกไปและผันกลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งในปัจจุบัน

ฟาเดลล์เล่าว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 ในธนบัตรรุ่นแรกเคยมีภาษามลายูหรือภาษาจีนอยู่ด้วย หรือหากสังเกตดูที่สัญลักษณ์ของหมวกตำรวจ ปัจจุบันจะมีสัญลักษณ์ 3 อย่าง คือช้างสามเศียร ช้างหนึ่งเศียร และกริช ช้างสามเศียรคือคนสยามลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปจนถึงนครศรีธรรมราช ช้างหนึ่งเศียรคือล้านช้าง ส่วนกริชคือสัญลักษณ์ของมลายู ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้ทำให้คนทางใต้เกิดความภูมิใจว่าการสร้างประเทศนี้เกิดจากการหลอมรวมคนหลากหลายเชื้อชาติ

ภาพจากพิพิธภัณฑ์ศาลไทยและหอจดหมายเหตุ

“ผมมองว่าในสมัยอยุธยา สยามและมลายูอยู่กันแบบเครือญาติ แต่ต้องยอมรับว่าคนที่เขียนประวัติศาสตร์คือคนที่ชนะ ประวัติศาสตร์เขียนว่าสยามปกครองมลายูและคุมไทรบุรี (เมืองในรัฐเกดะห์ มาเลเซียปัจจุบัน) พวกเขาต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองให้สยาม แต่ไทรบุรีก็บอกว่าเขาไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของสยาม แต่ส่งเครื่องราชบรรณาการเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและไม่อยากมีสงคราม”

ฟาเดลล์มองว่าจุดเริ่มต้นปัญหามาจากสมัยที่มีสนธิสัญญากรุงเทพฯ หรือสนธิสัญญาแองโกล-สยาม เมื่อปี 1909 ทำให้การแบ่งเส้นเขตใหม่ระหว่างอาณาจักรสยามและสหราชอาณาจักร (สยามยกดินแดนรัฐมลายู 4 รัฐ ได้แก่ กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี และปะลิส รวมถึงเกาะใกล้เคียงให้อังกฤษ) ทำให้เกิดการทะเลาะกันเอง เช่นเดียวกับการแบ่งเขตแดนในอีกหลายประเทศ เช่น พม่า บังกลาเทศ หรือแคชเมียร์ในอินเดียและปากีสถาน

“ผมเข้าใจว่าสมัยรัชกาลที่ 5 จำเป็นต้องรวมพระราชอำนาจมาสู่ส่วนกลางเพราะไม่เช่นนั้นเราจะสูญเสียดินแดนมากยิ่งขึ้น แต่การรวบอำนาจย่อมมีคนเสียอำนาจ ในช่วงแรกยังไม่เท่าไหร่ แต่พอมีนโยบายสมัยจอมพล ป. ก็เกิดปัญหาและมีการอุ้มฆ่าหะยีสุหลง

ปัจจุบันสถานการณ์ในชายแดนใต้ยังคงดำเนินอยู่แม้รัฐบาลพยายามเจรจาอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ เนื่องด้วยสาเหตุหลายปัจจัยที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและยังหาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้ ทำให้พื้นที่ชายแดนใต้เต็มไปด้วยความหวาดระแวงภายใต้กฎหมายพิเศษทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กฎอัยการศึก และ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนในพื้นที่ยังคงถูกลิดรอนสิทธิและเสรีภาพ

ใจ ‘เขา’ ใจ ‘เรา’ สู่วันที่พวกเราจะเข้าใจกัน

“ในเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ รวม 45 วัน เมื่อปี 2518 (เรียกร้องความเป็นธรรม กรณีนายทหาร 6 นายฆาตกรรมชาวบ้านรวม 5 ศพและโยนทิ้งที่แม่น้ำสายบุรี หรือที่เรียกว่า เหตุการณ์สะพานกอตอ) ตอนนั้นมีนักศึกษาจากส่วนกลางไปที่นั่น แต่นักศึกษามาโวยว่าไม่มีใครบอกเลยว่าคนแถวนั้นเขาไม่ได้พูดภาษาไทย”

ฟาเดลล์ย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตที่สะท้อนให้เห็นผลพวงของนโยบายชาตินิยมจากส่วนกลางที่ชัดเจน พร้อมเล่าต่อว่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว สามจังหวัดชายแดนคือแหล่งทำโทษของข้าราชการที่มีปัญหา ซึ่งข้าราชการเหล่านี้จะแก้ปัญหาของคนในพื้นที่ได้อย่างไร นอกจากนี้ยังไม่มีความต่อเนื่อง เช่น กรณีนักเคลื่อนไหว 9 คนโดนจับและอัยการชุดที่แล้วยกฟ้อง แต่ปรากฏว่าโดนจับใหม่อีกเพราะอัยการชุดใหม่ถือว่าเป็นคำสั่งเก่า ทำให้ปัญหาทับปัญหาและซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม

“ผมมองว่าการแก้ปัญหาทุกอย่างคือการสื่อสารและการเจรจา ซึ่งคือการพูดคุย ตราบใดที่เราไม่เข้าใจเขา ปัญหาไม่มีวันจบ ถ้าใช้ความรุนแรงก็เป็นการสร้างเงื่อนไข แต่ตอนนี้เรายังขาดศูนย์อำนาจอยู่ ชายแดนใต้ห่างเป็นพันกิโลเมตร เวลามีปัญหาต้องติดต่อไปส่วนกลางคือกรุงเทพฯ เพราะอะไรทำไมทางใต้ถึงแก้ปัญหากันเองไม่ได้”

“ผมว่า ณ ตอนนี้ต้องเดินคนละก้าว ถอยหลังคนละก้าว ถ้าจะเอาเรื่องความรุนแรงไปสู้กับทางใต้ไม่มีทางชนะ แต่การชนะใจคนเป็นเรื่องหลัก ถ้าชนะใจเขาได้ก็ถือว่าชนะแล้ว” ฟาเดลล์กล่าว

แม้ที่ผ่านมา ‘ความไม่เข้าใจกัน’ จะกลายเป็นสาเหตุให้เกิดความขัดแย้งมากมายและเป็นเรื่องท้าทายในปัจจุบัน แต่ฟาเดลล์มองว่าปัจจุบันเริ่มมีการเรียนรู้บางอย่างซึ่งกันและกัน โดยยกตัวอย่างโรงเรียนสุเหร่าลำแขกในเขตหนองจอก กรุงเทพฯ ที่มีการแข่งภาษาอาหรับก็มีตัวแทนเป็นเด็กชาวพุทธได้รางวัล เพราะสำหรับเด็กชาวพุทธเขามองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่จึงอยากเรียนรู้ ขณะที่เด็กมุสลิมเรียนเรื่องนี้เป็นประจำอยู่แล้วจึงรู้สึกเบื่อ

หรือโรงเรียนรางราชพฤกษ์นุชมีอุทิศ ผู้อำนวยการโรงเรียนให้ข้อมูลว่ามีเด็กนักเรียนเป็นมุสลิมและพุทธ 50:50 และในวิชาพุทธศาสนา เด็กมุสลิมมักตอบคำถามและได้คะแนนเยอะกว่าเด็กพุทธ เพราะเด็กมุสลิมก็อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เหมือนกัน

“การอยู่ด้วยกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างเข้าใจ ปรารถนาดีต่อกันและแบ่งปันประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันทุกฝ่าย นั่นคือสันติภาพที่ยั่งยืน” ฟาเดลล์ ทิ้งท้าย

ปัจจุบันเราอาจรู้สึกถึงช่องว่างของความแตกต่างจนขาดการทำความเข้าใจกันมาอย่างยาวนานและเกิดความขัดแย้งขึ้นมามากมาย แต่ช่องว่างเหล่านั้นไม่ได้หมายความว่าจะคงอยู่ตลอดไปและยังไม่สายเกินไปที่เราจะกลับมาทำความเข้าใจกัน

บทความต้นฉบับได้ที่ : มลายู อัตลักษณ์ที่ถูกกดขี่ สนทนากับฟาเดลล์ หะยีฮาระสะ ครูผู้เขียนหนังสือเรียนภาษา-วัฒนธรรมมลายู

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

71 ปี บังคับสูญหาย ‘หะยีสุหลง’ ผู้นำคนสำคัญของปาตานี

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เมื่อสังคมวิพากษ์วิจารณ์โฆษกหญิงของไทย-กัมพูชา ทำไมเรื่องราวเบื้องหลังถึงสำคัญกว่าบทบาทหน้าที่จริง

1 วันที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

“ผัดหมี่” พระกระยาหารโปรดในรัชกาลที่ 5 ถึงขั้นทรงมีเจ้าประจำ

ศิลปวัฒนธรรม

7 เครื่องดื่มช่วยรีเซ็ตฮอร์โมน ช่วยให้กลับมาสดใสในวันที่เหนื่อยล้า

sanook.com

‘ใบเสร็จ’ หนึ่งในการเขียนยุคแรกๆ ถึงแคชเชียร์ป้องกันการทุจริต และสิ่งสำคัญในโลกธุรกิจ

Capital

ปมในใจมาจากไหน? ถอดรหัสเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งผ่านศาสตร์แห่งดวงดาว

WOODY WORLD

วันหยุดราชการ วันหยุดธนาคารเดือนกันยายน -ธันวาคม 2568 เช็กวันหยุดที่นี่

ฐานเศรษฐกิจ

แพทริค ณัฐวรรธ์ ส่งซิงเกิล Mint the World จากมินิอัลบั้มชุดแรก MINT ต้อนรับซัมเมอร์

THE STANDARD

จับตา 4 ผลิตภัณฑ์ใหม่ เตรียมเปิดตัว Apple Event 2025

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

75 ปี ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา “ตัด-ลด” ความสัมพันธ์กันกี่ครั้ง เพราะอะไร

ศิลปวัฒนธรรม

ข่าวและบทความยอดนิยม

ASEAN POP MUSIC ชวนฟัง10 เพลงป๊อปจาก 10 ประเทศอาเซียน

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

มลายู อัตลักษณ์ที่ถูกกดขี่ สนทนากับฟาเดลล์ หะยีฮาระสะ ครูผู้เขียนหนังสือเรียนภาษา-วัฒนธรรมมลายู

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

เมื่อสังคมวิพากษ์วิจารณ์โฆษกหญิงของไทย-กัมพูชา ทำไมเรื่องราวเบื้องหลังถึงสำคัญกว่าบทบาทหน้าที่จริง

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...