เมื่อสังคมวิพากษ์วิจารณ์โฆษกหญิงของไทย-กัมพูชา ทำไมเรื่องราวเบื้องหลังถึงสำคัญกว่าบทบาทหน้าที่จริง
โฆษกกลาโหมกัมพูชา พลโทหญิง มาลี โสเจียตา เป็นหัวข้อพูดคุยของคนไทยมาตลอดหลายสัปดาห์ ทั้งจากเรื่องที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็น ‘เมียน้อย’ ของสมเด็จ ฮุน เซน หนำซ้ำยังมีการทำคลิป AI ในเชิงชู้สาวกับฮุน เซน นอกจากนี้ยังมีการล้อเลียนเรื่องหน้าตาด้วย
ในแพลตฟอร์มยอดฮิตอย่าง TikTok ก็มีการทำคอนเทนต์ ในลักษณะที่สะท้อนให้เห็นว่าคำว่า ‘มาลี’ เป็นคำด่าแบบใหม่ ที่ทั้งโซะ ทั้งฮิต และอาจยืนยันได้จากบทสนทนาที่ดันไปได้ยินคนบนรถไฟฟ้าคุยกันว่า “เดี๋ยวนี้ถ้าจะด่าใครต้องด่าว่า ‘มาลี’ นะ”
ภายหลังทางการไทยได้แต่งตั้ง บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เป็นโฆษกจิตอาสาของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ทั้งคู่ถูกเปรียบเทียบว่าใคร ‘ดี’ กว่าใคร ซึ่งคำว่าดีที่ว่านี้ไม่ได้ถกเถียงกันบนบทบาทโฆษก แต่เป็นความสวย รูปร่าง และเรื่องราวเบื้องหลังของคนทั้งคู่
ปนัดดา ถูกโต้กลับจากฝ่ายกัมพูชาเช่นกัน จากการหยิบยกรูปสมัยที่ยังเป็นนางแบบขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์เชิงขบขันและด้อยค่าความเป็นผู้หญิง
ยิ่งไปกว่าการหยิบยกมาล้อเลียนกันเองในสังคม สื่อมวลชนทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารให้ ‘ความสนุก’ แบบนี้ถึงผู้ชมในวงกว้างเช่นกัน
ทั้งหมดนี้อาจกลายเป็นความจับจดอยู่กับการสร้างเรื่องเล่าขึ้นมาโดยมีความเป็นหญิงเป็นเครื่องมือ เบี่ยงประเด็นจากสาระหลักที่ควรโฟกัสบทบาทหน้าที่โฆษก ทั้งมาลีและปนัดดาอาจทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่ดี แต่ระหว่างทางนี้เราแทบไม่เห็นการวิจารณ์การทำงานอย่างแท้จริงของทั้งสองคน
หากมองย้อนกลับไป หลายครั้งเมื่อผู้หญิงขึ้นมามีบทบาทมักจะมีการพูดถึงเรื่องอื่นๆ มากกว่าการโฟกัสที่บทบาทหน้าที่จริงๆ เช่น จาซินดา อาเดิร์น อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ผู้ถูกชื่นชมและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากการพาประเทศฝ่าวิกฤตโควิด-19 กลับกันความนิยมในประเทศค่อนข้างสวนทางกัน ผลงานไม่เป็นที่พึงพอใจ
อย่างไรก็ตามภาพที่ปรากฏให้เห็นนอกจากการวิพากษ์วิธีการทำงานหรือการบริหารคือ การวิพากษ์ด้วยถ้อยคำแบ่งแยกทางเพศและเหยียดเพศอย่างมาก เคยมีการตัดต่อรูปของเธอและชี้นำไปในเชิงการคุกคามทางเพศ โพสต์รูปภาพของเธอพร้อมระบุว่า ให้เช่าบริการ
ครั้งหนึ่งระหว่างที่เธอพบปะกับ ซานนา มาริน นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ นักข่าวชายคนหนึ่งกล่าวว่าผู้นำทั้งสองพบกันเพราะพวกเขามีเพศเดียวกันและอายุใกล้เคียงกัน จนอาร์เดิร์นสวนกลับว่า “ฉันสงสัยว่ามีใครเคยถามบารัค โอบามา และจอห์น คีย์ หรือเปล่าว่าพวกเขาพบกันเพราะอายุใกล้เคียงกัน และการที่ผู้หญิงสองคนพบกันไม่ได้เป็นเพียงเพราะเพศของพวกเธอเท่านั้น”
ช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครนเมื่อปี 2010 วิกเตอร์ ยานูโควิช หนึ่งในแคนดิเดตเคยปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการดีเบตกับคู่แข่งอย่าง ยูเลีย ติโมเชนโก ด้วยเหตุผลที่ว่า “ถ้าเธอเป็นผู้หญิง เธอก็ควรกลับไปเข้าครัว” ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการดูถูกและแบ่งแยกทางเพศอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าทั้งสองกรณีที่ยกตัวอย่างมาอาจมีปัจจัยเรื่องการเป็น ‘ผู้นำสูงสุดของประเทศ’ จึงเป็นศูนย์กลางของการแสดงความเห็น แต่ความเห็นที่สะท้อนออกมานั้นก็เป็นความเห็นเรื่อง ‘เพศ’ ที่ต้องมาเคียงคู่กับความเป็นผู้นำหญิงเสมอ
หรือหากจะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียงกับกรณีของมาลีและปนัดดาที่ไม่ได้เป็นผู้นำสูงสุดของรัฐ ก็มีให้เห็นไม่น้อย ตัวอย่างกรณีของ ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน เธอเป็นอีกคนที่ถูกวิจารณ์จากความเป็นหญิงอยู่หลายครั้ง ไม่เว้นแม้แต่จากผู้หญิงด้วยกันเอง
หลายครั้งหลังจากที่ศิริกัญญาออกมาวิจารณ์นโยบายรัฐ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจต่างๆ ผู้ที่ไม่เห็นด้วย ผู้ที่ยึดถือคุณค่าหรืออุดมการณ์ที่ต่างกัน ก็จะด่าทอด้วยคำพูดเหยียดเพศ เหยียดการศึกษาต่างๆ
ย้อนไปช่วงที่ศิริกัญญาถูกคาดเดาว่าจะได้นั่งเก้าอี้ รมว.คลัง ตั้งแต่รู้ผลว่าพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งสูงที่สุด แต่เสียงวิจารณ์ที่ตามมาคือ “มือใหม่ ไร้ประสบการณ์ เป็นแค่พนักงานบริษัทมาก่อน” “ศิริกัญญาเทียบเผ่าภูมิไม่ได้เลย”
ซึ่งศิริกัญญาเคยกล่าวตอนหนึ่งในรายการFriends Talk ว่า “ดิฉันถูกขุดยันโคตรเหง้า ถามหาว่า GPA เท่าไร แต่พอตั้งรัฐบาลเสร็จไม่มีใครถามอีกเลยว่า รมว.คลัง หรือ รมช. เขามีคุณสมบัติเป็นอย่างไร เพียงพอไหม…แล้วทำไมตอนนั้นคุณไม่ถามความรู้ทางการคลังของดิฉัน คุณมาเทสก็ได้”
อีกกรณีหนึ่งคือกรณีของ พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เป็นอีกคนที่ช่วงหนึ่งของการเป็น สส.พรรคอนาคตใหม่ ถูกวิจารณ์เรื่องการแต่งตัวเข้าสภาฯ พ้นไปจากนั้นไม่ว่าจะออกมาแสดงความเห็นเรื่องอะไรก็จะถูกเรียกด้วยถ้อยคำดูหมิ่น เหยียดหยาม และวิจารณ์หน้าตามาเสมอ
สุดท้ายแล้วทั้งในกรณีของมาลีและปนัดดา รวมถึงกรณีอื่นๆ ที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าวงสนทนาและพื้นที่สื่อยังคงใช้เพศ หน้าตา และชีวิตส่วนตัวเป็นเครื่องมือในการสร้างความบันเทิงหรือโจมตี มากกว่าการวิพากษ์ตรวจสอบผลงานหรือบทบาทหน้าที่อย่างจริงจัง
อีกนัยหนึ่งคงพูดได้ว่า เรายังคงสนุกปากกับเรื่องนินทา เรื่องราวเบื้องหลังของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือ ภาพตัดต่อ หรือการขุดคุ้ยประวัติส่วนตัว ทุกอย่างถูกหยิบมา ‘สร้างสีสัน’ และส่งต่อกันอย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นความบันเทิงสาธารณะ ความสนุก (ที่สนุกสนานอยู่ฝ่ายเดียว) เช่นนี้ มักถูกห่อหุ้มด้วยเสียงหัวเราะและถ้อยคำเสียดสี จนบางครั้งลืมตั้งคำถามว่ามันกำลังเบี่ยงสายตาออกจากประเด็นสำคัญหรือไม่
ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนค่านิยมทางสังคมที่ยังติดอยู่กับกรอบเพศ แต่ยังบั่นทอนความเป็นธรรมและคุณภาพของการถกเถียงในสังคม เพราะทำให้สาระสำคัญเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ถูกกลบหายไปภายใต้เสียงหัวเราะหรือการเสียดสีที่มีรากจากอคติทางเพศ
อ้างอิง:
- ถามศิริกัญญา "เขาว่า..ถ้าไม่มีก้าวไกล คนไทยมีกินมีใช้แล้ว?" #สภาภาษาคน EP23
- เพราะเป็นหเส้นทางวิบาก 6 นักการเมืองหญิงที่ถูกโจมตีด้วยอคติทางเพศ
บทความต้นฉบับได้ที่ : เมื่อสังคมวิพากษ์วิจารณ์โฆษกหญิงของไทย-กัมพูชา ทำไมเรื่องราวเบื้องหลังถึงสำคัญกว่าบทบาทหน้าที่จริง
บทความที่เกี่ยวข้อง
- เมื่อสังคมวิพากษ์วิจารณ์โฆษกหญิงของไทย-กัมพูชา ทำไมเรื่องราวเบื้องหลังถึงสำคัญกว่าบทบาทหน้าที่จริง
- รู้จักกับ Ethel Cain ศิลปินที่น่าจับตามอง ผู้มากับเสียงหลอนๆ และความสัมพันธ์ซับซ้อนกับศาสนา
- สวัสดิการสุขภาพของรัฐกับข้อครหาเรื่อง ‘ภาระทางการเงิน’ รักษาผู้ป่วยข้ามชาติ ‘เปลือง’ จริงหรือ
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath