71 ปี บังคับสูญหาย ‘หะยีสุหลง’ ผู้นำคนสำคัญของปาตานี
หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ โต๊ะมีนา หรือ ‘หะยีสุหลง’
ครบ 71 ปี ที่หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ โต๊ะมีนา หรือ ‘หะยีสุหลง’ ถูกบังคับสูญหายโดยรัฐ เช้ามืดของวันที่ 13 สิงหาคม 2497 เขาเดินขึ้นรถยนต์หน้าบ้านพักในจังหวัดปัตตานี เพื่อไปยังกองบัญชาการตำรวจสันติบาลที่จังหวัดสงขลา และไม่เคยกลับมาอีกเลย
หะยีสุหลง มีบทบาทอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจรากเหง้าของสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ เขาได้รับการยกย่องจากชาวมลายูมุสลิมในฐานะผู้นำที่ยืนหยัดปกป้องศาสนาและอัตลักษณ์ของชุมชน ขณะที่รัฐบาลในยุคนั้นกลับมองว่าเป็นผู้มีแนวคิดแบ่งแยกดินแดน
เขาเดินทางไปศึกษาศาสนาอิสลามที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่อายุ 12 ปี และใช้เวลากว่าหนึ่งทศวรรษฝึกฝนจนเชี่ยวชาญวิชาศาสนาเมื่ออายุราว 27 ปี แม้จะมีโอกาสสอนศาสนาที่เมกกะ แต่เขาเลือกกลับบ้านเกิดเพื่อนำความรู้มาถ่ายทอดแก่ผู้คนในปัตตานี โดยเห็นว่านี่คือสิ่งจำเป็นต่อการยกระดับความรู้และศรัทธาของชุมชน
ด้วยแรงสนับสนุนจากการบริจาคของชาวบ้าน และเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา เขาก่อตั้งโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรกในประเทศไทย ที่ปัตตานี และความมุ่งมั่นออกเผยแพร่คำสอนด้วยตนเอง ทำให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับกว้างขวาง ซึ่งทำให้บางฝ่ายไม่พอใจ และรัฐก็เริ่มจับตาเขามากขึ้น
หะยีสุหลง และยุคสมัยของการเคลื่อนไหว
หะยีสุหลง และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี เป็นแกนนำในการเรียกร้องสิทธิด้านอัตลักษณ์ของชาวมุสลิมในปาตานี เกิดขึ้นจากการตอบโต้ต่อกระบวนการก่อตัวของรัฐสมัยใหม่ ซึ่งเป็นความต่อเนื่องมาจากยุครัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 โดยพื้นฐานแล้ว ชาวปาตานีมีระบบวัฒนธรรมและกฎหมายของตนเอง แต่ต้องเผชิญกับความพยายามของรัฐไทยที่จะนำความเป็น ‘ไทย’ มาครอบงำและกำหนดกรอบทางกฎหมาย
การเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงกระแทกอย่างจัง เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ใช้แนวคิด ‘ชาตินิยม’ มาเป็นแกนกลางในการกำหนดแบบแผนชีวิต ซึ่งจอมพล ป. ประกาศเป็น ‘รัฐนิยม’ เมื่อปี 2482 ไม่ว่าจะเป็นการเรียกชื่อ การแต่งกาย หรือการใช้ภาษา และความขัดแย้งรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และ 6 ว่าด้วยครอบครัวและมรดก ในปี พ.ศ. 2487 โดยบังคับใช้ทั่วราชอาณาจักรไม่ยกเว้น
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ส่งผลให้กฎหมายอิสลามไม่สามารถใช้บังคับได้อีกต่อไป และมีการยกเลิกตำแหน่ง ‘ดะโต๊ะยุติธรรม’ ซึ่งทำหน้าที่ตัดสินคดีเกี่ยวกับครอบครัวและมรดกของชาวมุสลิมไปด้วย
ก่อนหน้านั้น แม้ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการผนวกดินแดนและรวมศูนย์อำนาจ รัฐไทยยังคงยกเว้นเรื่องกฎหมายครอบครัวและทรัพย์สิน ให้ดำเนินไปตามหลักชารีอะห์ของอิสลาม แต่ในยุคของจอมพล ป. ทุกเรื่องต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายของรัฐไทยเพียงเท่านั้น
หลังจากจอมพล ป. หมดอำนาจ (สมัยแรกตั้งแต่ปี 2481) ในปี 2487 พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์) ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้เปิดการเจรจากับกลุ่มของหะยีสุหลง (คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี) ซึ่งในวันที่ 3 เมษายน 2490 ได้ยื่นข้อเรียกร้องจำนวน 7 ข้อเพื่อแก้ไขปัญหาของชาวมุสลิมในปาตานี
เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ‘ปาตานี’ และรำลึก 18 ปี เหตุการณ์ตากใบ
ข้อเรียกร้อง 7 ข้อ ในนามคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ประกอบด้วย
1. ให้มีการแต่งตั้งบุคคลผู้หนึ่งซึ่งมีอำนาจเต็มในการปกครอง 4 จังหวัด ได้แก่ ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล โดยเฉพาะอำนาจในการปลด ยับยั้ง หรือแทนที่ราชการ รัฐบาลทั้งหมดได้ บุคคลผู้นี้ควรเป็นผู้ที่เกิดในท้องถิ่นในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งใน 4 จังหวัด และได้รับการเลือกตั้งโดยประชาชนเอง และมีการรับรองจากรัฐบาล
2. ให้ 80 เปอร์เซ็นต์ ของข้าราชการใน 4 จังหวัด เป็นผู้นับถือศาสนามุสลิม
3. ให้ภาษามลายู และภาษาไทย เป็นภาษาราชการใน 4 จังหวัด
4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษาสำหรับใช้ในการเรียน และสอน ในโรงเรียนประถมใน 4 จังหวัด
5. ให้ใช้กฎหมายมุสลิมในศาลมุสลิมที่แยกต่างหากจากศาลแพ่ง ซึ่งกอฎี (ดะโต๊ะยุติธรรม) นั่งร่วมในฐานะผู้ประเมินด้วย
6. รายได้และภาษีทั้งหมดที่ได้จาก 4 จังหวัด ให้นำไปใช้ใน 4 จังหวัดทั้งหมด
7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการอิสลามที่มีอำนาจเต็มในการกำหนดกิจการมุสลิมทั้งปวง ภายใต้อำนาจสูงสุดของผู้ปกครองรัฐตามระบุในข้อ 1
หลังจากกลุ่มหะยีสุหลงยื่นข้อเสนอ 7 ข้อ รัฐบาลรับไว้พิจารณา แต่ปฏิเสธข้อที่ 1 โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถดำเนินการได้ โดยพิจารณาว่าอาจนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน ส่วนข้ออื่นๆ แม้จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการปฏิบัติ แต่ก็ถูกปรับเปลี่ยนจากเดิม มีความล่าช้า และค่อยๆ ถูกละเลย จนกระทั่งหมดความคืบหน้าไปในที่สุด เมื่อเกิดการรัฐประหารวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 นำโดย พลโทผิน ชุณหะวัณ ในนาม ‘คณะทหารของชาติ’ ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ และแต่งตั้ง ควง อภัยวงศ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ภายหลังข้อเรียกร้องทั้ง 7 ข้อ กลายเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์การเมืองที่สำคัญและได้รับการอ้างอิงถึงเป็นอันดับแรกๆ เมื่อกล่าวถึงการเรียกร้องสิทธิของชาวมุสลิมมลายู หรือในวาระทางสังคมการเมืองที่เกี่ยวโยงสอดคล้องกับปัญหาชายแดนใต้
ถูกเพ่งเล็งหลังรัฐประหาร
หลังจากก่อกำเนิดรัฐบาลควง ท่าทีของรัฐต่อสถานการณ์ชายแดนใต้ตึงเครียดมากขึ้น พลโทชิด มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีนโยบายที่ต้องการจัดการปัญหาเรื่อง ‘การแบ่งแยกดินแดน’ อย่างเด็ดขาด
แจ้ง สุวรรณจินดา หรือ พระยารัตนภักดี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ลงพื้นที่ตามคำสั่งไม่นานก็ส่งรายงานกลับมา พร้อมระบุว่า แกนนำสร้างความปั่นป่วนในภาคใต้คือ หะยีสุหลง จึงมีการเข้าจับกุมตัวเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2491 ด้วย 2 ข้อหา คือ
1. มีการคบคิดทำการกบฏในเดือนสิงหาคม 2490 จากคำพูดปลุกปั่นของหะยีสุหลงต่อประชาชนว่า “รัฐบาลไทยได้ปกครอง 4 จังหวัดภาคใต้มาถึง 10 ปีแล้ว ไม่ได้ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองดีขึ้นและกล่าวชักชวนให้ราษฎรไปออกเสียงร้องเรียนที่ตัวจังหวัดเพื่อขอปกครองตนเอง ถ้ารัฐบาลยินยอมก็จะได้เชิญตนกูมะไฮยิดดินมาปกครองแล้วจะได้ใช้กฎหมายอิสลามเพื่อให้ความชั่วหมดไปและทำให้บ้านเมืองเจริญ ถ้ารัฐบาลไม่ยอมตามคำขอปกครองตนเอง ก็จะได้ให้ราษฎรพากันไปออกเสียงเรียกร้องเรียนให้สำเร็จจนได้”
2. มีการดูหมิ่นรัฐบาลไทยและข้าราชการไทย ตลอดจนถึงราชการแผ่นดิน เนื่องจากเอกสารที่หะยีสุหลงได้ทำมาแจกประชาชนลงชื่อ มีเนื้อหาว่าต้องการเชิญตนกูมะไฮยิดดินมาเป็นหัวหน้าปกครอง 4 จังหวัด และมียังข้อความว่า “ที่จะก่อให้เกิดความดูหมิ่นต่อรัฐบาลและข้าราชการแผ่นดินและจะก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงกับจะก่อความไม่สงบขึ้นในแผ่นดิน”
ศาลพิพากษาจำคุกหะยีสุหลงเป็นเวลา 7 ปี แต่เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงมีการลดโทษเหลือ 4 ปี 8 เดือน ต่อมาเมื่อรับโทษครบ 4 ปี 6 เดือน หะยีสุหลงได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดในวันที่ 20 มิถุนายน 2495 เร็วกว่ากำหนดโทษเต็ม 2 เดือน
ถูกบังคับสูญหาย
แม้จะได้รับอิสรภาพหลังพ้นโทษ แต่เงาของอำนาจรัฐยังคงตามหลอกหลอนหะยีสุหลงอย่างไม่คลาย หลัง จอมพล ป. กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งกลางปี 2491 เช้าวันที่ 13 สิงหาคม 2497 ตำรวจสันติบาลจังหวัดสงขลาได้ส่งหนังสือเรียกตัวให้ไปพบ เขาออกเดินทางจากบ้านพักในจังหวัดปัตตานี โดยมีอาหมัด โต๊ะมีนา บุตรชายคนโตวัย 15 ปีร่วมไปด้วยในฐานะล่าม เนื่องจากเจ้าตัวและเพื่อนอีกสองคนไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ จุดหมายคือกองบัญชาการตำรวจสันติบาลที่สงขลา แต่หลังจากนั้น ไม่มีใครได้เห็นทั้ง 4 คนอีกเลย
การหายตัวไปครั้งนี้จุดประกายความเชื่อว่าพวกเขาตกเป็นเหยื่อของการสังหารทางการเมืองโดยฝีมือตำรวจซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ข่าวครึกโครมแพร่กระจายไปทั่วจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลามข้ามพรมแดนสู่มาเลเซียและสิงคโปร์ กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ฝังลึกในความทรงจำของผู้คน
ครอบครัวของหะยีสุหลงไม่ยอมแพ้ พยายามตามหาหัวหน้าครอบครัวและบุตรชายอย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งวันที่ 13 เมษายน 2498 พวกเขาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ภรรยาของจอมพล ป. นายกรัฐมนตรี พร้อมประกาศมอบเงินรางวัล 10,000 บาทแก่ผู้ใดที่สามารถแจ้งเบาะแสหะยีสุหลงได้
ทว่ากาลเวลาผ่านไปโดยไร้ร่องรอย ไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าหะยีสุหลงยังมีชีวิตอยู่ ศ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เขียนหนังสือ ความเป็นมาของทฤษฎี ‘แบ่งแยกดินแดน’ ในภาคใต้ไทย เคยกล่าวบนเวทีเสวนา ‘ว่าด้วยประวัติศาสตร์ปาตานี’ ว่า การหายตัวไปของทั้ง 4 คน ถูกยืนยันว่าเป็นการบังคับสูญหาย หรือการ ‘อุ้มหาย’ จริง ในยุค จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อมีการสอบสวนย้อนไปและได้ข้อสรุปว่า หะยีสุหลงและพวกถูกสังหารตามคำสั่งรัฐบาล มีการระบุรายละเอียดถึงวิธีการรัดคอ คว้านท้อง ยัดเสาปูน เพื่ออำพรางศพ และทิ้งศพที่บริเวณทะเลสาบสงขลา
เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นอีกหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ที่บ่งบอกการพยายามดูดกลืนความหลากหลาย ให้อยู่ภายใต้ ‘ความเป็นไทย’ ที่ประกอบสร้างขึ้นมา แต่เรื่องราวอันน่าสะเทือนใจไม่ได้หยุดลง หลังจากเหตุการณ์นี้ในพื้นที่ภาคใต้ก็เกิดเหตุการณ์ที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก เกิดกรณีการบังคับสูญหายตามมาอีก และไม่มีชิ้นส่วนเศษเสี้ยวใดจากรัฐที่จริงใจบอกเล่า ‘ความจริง’ หรือให้คำอธิบายใดๆ ที่สมเหตุสมผลแม้สักนิดเดียว
อ้างอิง:
บทความต้นฉบับได้ที่ : 71 ปี บังคับสูญหาย ‘หะยีสุหลง’ ผู้นำคนสำคัญของปาตานี
บทความที่เกี่ยวข้อง
- 71 ปี บังคับสูญหาย ‘หะยีสุหลง’ ผู้นำคนสำคัญของปาตานี
- ASEAN POP MUSIC ชวนฟัง10 เพลงป๊อปจาก 10 ประเทศอาเซียน
- The Decorum: ร้านสูทที่มอง ‘ความคลาสสิก’ เป็นเสาหลัก แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของพวกเขา
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath