กนอ.จับมือ กฟผ. ศึกษานิคมฯ สีเขียว รองรับ Green Transition
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ประกาศความมุ่งมั่นครั้งสำคัญในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทย สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี พ.ศ. 2603 ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประเทศและมาตรฐานสากล โดยเน้นการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-Industrial Town) และสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม
ผ่านการดำเนินงานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด เพื่อรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและมีประสิทธิภาพสูงสุด การลงทุนในระบบส่งและจำหน่ายไฟฟ้าที่เสถียร รวมถึงการพัฒนาระบบ Smart Grid เพื่อบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
อีกทั้ง การวางรากฐาน “Smart Park” หรือนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะโฉมใหม่แห่งอนาคต ที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การลงทุนในระบบไฟฟ้าที่เสถียรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปิดประตูสู่การลงทุนในโครงการและนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ ที่พร้อมจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในระยะยาว
ล่าสุด กนอ.และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOU) “โครงการศึกษาการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม เพื่อรองรับ Green Transition สู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่” เพื่อผนึกกำลังขับเคลื่อนอนาคตอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า กนอ. มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ โดยนำจุดแข็งและประสบการณ์ขององค์กรมาใช้พัฒนาอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรม ทั้งในด้านการบริหารจัดการพลังงานสะอาดให้แก่ผู้ประกอบการ การบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจร และอาจนำไปสู่การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาธุรกิจร่วมกันในอนาคต
สอดคล้องกับแผนวิสาหกิจของ กนอ. ที่มุ่งเสริมสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อร่วมกันศึกษารูปแบบและแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรมให้พร้อมรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transition) ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ
นายธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ความร่วมมือนี้ว่าเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญ ที่ช่วยเตรียมความพร้อมให้ภาคอุตสาหกรรมไทย สามารถปรับตัวเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนโดย กฟผ. และ กนอ. จะผสานจุดแข็งของทั้งสององค์กรเข้าด้วยกันใน 2 แนวทางหลัก ได้แก่ การยกระดับนิคมอุตสาหกรรมปัจจุบันด้วยโซลูชันพลังงานสะอาด อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ และระบบบริหารจัดการอัจฉริยะ
นอกจากนี้เป็นการร่วมกันศึกษาและพัฒนาพื้นที่ศักยภาพ เช่น พื้นที่ กฟผ. แม่เมาะ จังหวัดลำปาง ให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวต้นแบบ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังจะเข้ามา เช่น ธุรกิจรีไซเคิลชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมในกลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน
ความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขัน ดึงดูดการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทั้งสององค์กรต่างเห็นพ้องต้องกัน
ทั้งนี้ เพื่อให้ความร่วมมือนี้เกิดผลเป็นรูปธรรม กนอ.และกฟผ. จะร่วมกับศึกษาความเป็นไปได้ในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่แนวคิดการออกแบบเบื้องต้น (Conceptual Design) ไปจนถึงการศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ (easibiliry Study)โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับ Green Iransition แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ
โดยระยะแรก จะเป็นการศึกษาแนวคิดการออกแบบและความเป็นไปได้เบื้องต้น (Pre-Feasibility Study) จะครอบคลุมการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบันและอนาคต วิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และประเมินศักยภาพของพื้นที่เป้าหมายที่จะพัฒนาเป็นนิคมฯ สีเขียวต้นแบบ เพื่อนำไปสู่ตัดสินใจว่าโครงการมีโอกาสประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ก่อนที่จะเข้าสู่ระยะที่ 2 เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างละเอียด (Feasibility Study)
ระยะที่ 3 หากผลการศึกษามีความเหมาะสมต่อการลงทุน ทั้งสองฝ่ายจะเจรจารูปแบบความร่วมมือเพื่อดำเนินธุรกิจที่เกียวข้องต่อไป โดย MOU ฉบับนี้ มีระยะเวลา 3 ปี โดยทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะทำงานร่วม (Joint Working Group) เพื่อประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้จะมุ่งเน้นการศึกษาอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงและใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงในการผลิต อาทิ
อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด (Green Industry) : เช่น การผลิตอุปกรณ์สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์, การผลิตพลังงานจากชีวมวล และการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมคาร์บอนตํ่า (Low Carbon Industry) เช่น การบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการนำคาร์บอนมาใช้ประโยชน์
และอุตสาหกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) : ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าใช้แล้ว, แผงเซลล์แสงอาทิตย์ และขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนของเสียให้กลายเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าและลดปัญหามลพิษในระยะยาว