ศักยภาพแข่งขันไทยตกฮวบ 5 อันดับ จี้รัฐเร่งแก้ก่อนศก.ทรุดถาวร
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเศรษฐกิจ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความกังวลอย่างรุนแรงต่อสถานการณ์ด้านขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ภายหลังสถาบัน IMD (International Institute for Management Development) ประกาศผลจัดอันดับประเทศและเขตเศรษฐกิจ 69 แห่งทั่วโลก ซึ่งปรากฏว่า ประเทศไทยร่วงลงถึง 5 อันดับ จากอันดับที่ 25 ไปอยู่ที่ 30 ในปี 2025
“สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่อันดับที่ตกลงมาเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณเตือนที่สะท้อนถึง ‘โครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง’ และ ‘ระบบราชการที่ล้าหลัง’ ซึ่งทำให้ไทยไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ทันท่วงที” นายสนธิรัตน์ ระบุ
นายสนธิรัตน์ชี้ว่า สาเหตุหลักของการถดถอยดังกล่าวมาจาก “ประสิทธิภาพภาครัฐ” ที่ร่วงลงถึง 8 อันดับในปีเดียว ถือเป็นหมวดที่ตกต่ำมากที่สุดในบรรดาทุกปัจจัยที่ใช้จัดอันดับ ซึ่งสะท้อนชัดว่า “ระบบราชการไทยยังติดกับดักความล้าสมัย”
“โครงสร้างการบริหารแบบแยกส่วน (Silo) ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ กฎหมายล้าสมัย ระบบราชการซับซ้อน ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกับกลุ่ม SMEs ที่อ่อนแอและขาดการสนับสนุนที่แท้จริง”
นายสนธิรัตน์ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญ
“ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ไม่ใช่เพียงปัญหาทางเทคนิค และกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการผันผวนของโลก จากระบบที่ไม่ยืดหยุ่น และไม่มี “หน่วยงานกลาง” ที่สามารถบูรณาการนโยบายเศรษฐกิจให้สอดประสานกันได้
“ขณะนี้เราไม่มี New S-Curve ที่ชัดเจน ไม่มีระบบติดตามผลนโยบายอย่างจริงจัง การพัฒนาเศรษฐกิจในยุคใหม่ เช่น Green Economy หรือ AI ยังไม่เป็นรูปธรรม”
แม้ไทยจะยังมีข้อได้เปรียบในด้านการค้าและการจ้างงาน แต่หากขาดโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง เราจะไม่สามารถยืนหยัดหรือแข่งขันได้ในระยะยาว โดยเฉพาะในโลกหลังปี 2025 ซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ “ยุคเศรษฐกิจแห่งความมั่นคง” ที่เต็มไปด้วยมาตรการกีดกันทางการค้า การย้ายฐานการผลิต และการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ
“ไทยต้องไม่ยืนเฉย แต่ต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปปรับตัวเองก่อนที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” อดีตรมว.พลังงานกล่าวอย่างหนักแน่น
พร้อมกันนี้ นายสนธิรัตน์ ได้เรียกร้องให้ภาครัฐ “หยุดผัดวันประกันพรุ่ง” และเริ่มปฏิรูประบบราชการอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการลดความซ้ำซ้อนในการบริหาร การกระจายอำนาจ และการจัดตั้งระบบติดตามผลนโยบายที่มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่การทำรายงานบนกระดาษ
ทั้งยังชี้ด้วยว่า ภาคเอกชนก็มีบทบาทสำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ไม่ควรเป็นเพียงผู้รับภาระจากระบบที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่ควรเป็นพลังเสริมในการขับเคลื่อนประเทศ สู่ความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง
“รัฐบาลต้องใส่ใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะประสิทธิภาพของภาครัฐอยู่ในมือรัฐบาลโดยตรง ถ้ารอช้ากว่านี้ ประเทศไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างถาวร”
นายสนธิรัตน์ ทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพและโอกาสอีกมาก แต่จำเป็นต้อง “กล้าก้าวข้ามวิธีคิดแบบเดิม ๆ” และลงมือปฏิรูปโดยไม่รออีกต่อไป เพราะวันนี้ “เวลาไม่เหลืออีกแล้ว”