“กัณวีร์” แนะ ไทย ไม่ต้องรีบส่ง “เชลยศึกกัมพูชา” กลับเขมร
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยว่า ต้องสร้างความเข้าใจกันอีกครั้งในเรื่องเชลยศึกทหารกัมพูชาทั้ง 18 นาย ว่าไทยควรทำอย่างไร ตนเคยเขียนเรื่องเชลยศึกในช่วงการสู้รบระหว่างทหารเมียนมากับกองกำลัง KNU เลยขอมากล่าวซ้ำในกรณีเชลยศึกกัมพูชาอีกครั้ง
"ไทยสามารถทำได้ต่อเมื่อความรุนแรงสิ้นสุดแล้ว ตามอนุสัญญาเจนีวา ทั้งคู่ขัดแย้งต้องเห็นร่วมกันแล้วว่าความรุนแรงสิ้นสุดลง (cessation of hostilities) โดยฝ่ายควบคุม (detaining power) จะส่งเชลยศึก (prisoners of war-POWs) ให้กับประเทศที่เป็นกลาง (neutral country) เพื่อช่วยการส่งกลับด้วยความโปร่งใส และหรืออาจส่งตรงจากประเทศที่ควบคุมตามข้อตกลงต่างๆได้ “ นายกัณวีร์ ระบุ
นายกัณวีร์ กล่าวต่ออีกว่า เมื่อกลับไปดูรายละเอียดที่กรอบกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องทั้งอนุสัญญาเจนีวาและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศแล้ว จะเห็นว่า“ทำได้” และเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะเจตนารมย์ของกฎหมายก็เพื่อให้ความคุ้มครองต่อ “เชลยศึก” (Prisoners of War—POWs) ให้ถูกละเมิดให้น้อยที่สุดและไปการละเมิดจบโดยเร็วที่สุด โดยการที่กำหนดว่าหลังการปะทะและสงครามเสร็จสิ้นแล้ว สมควรจะต้องส่งกลับเชลยศึกโดยเร็วที่สุดโดยปราศจากความล่าช้าทุกประการ คือ เราควรเห็นว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่ต้องปรับใช้ในยามสงคราม แต่คงมีหลายท่านมีคำถามในหัวใจต่อกรณีเชลยศึกกัมพูชาในหลายข้อ ว่า ไทยไปช่วยทำไม และทำได้เหรอ เอาตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศด้านมนุษยธรรม ทำได้ครับ โดยการถูกมอบอำนาจให้ตามกฎหมายว่า “ฝ่ายที่ควบคุม“ ในการดูแลและการส่งกลับเชลยศึก กฎหมายนี้จะใช้เฉพาะเมื่อสงครามเกิดทั้งสงครามระหว่างประเทศ (international armed conflicts) และสงครามที่ไม่ใช่ระหว่างประเทศ (Non-international armed conflicts)
นายกัณวีร์ ระบุว่า หากไทยถูกร้องขอก็อาจพิจารณาหาประเทศที่เป็นกลาง (neutral country) ให้เข้ามาช่วยเพื่อความโปร่งใส เราก็ควรทำให้เป็นไปตามเจตจำนงค์และเจตารมย์แห่งกฎหมายระหว่างประเทศฉบับนี้เสีย และที่สำคัญที่สุดเชลยศึกผู้ถูกส่งกลับแล้ว ต้องไม่กลับไปเป็นกองกำลังอีก นี่คือหลักการที่สำคัญของกฎหมายนี้
ส่วนข้อกังวลที่ว่าทหารพ่ายศึกจะถูกดำเนินคดีใดๆ หรือไม่ นายกัณวีร์ อธิยานว่า ต้องแยกออกเป็นสองเรื่อง หนึ่งระเบียบปฏิบัติและกฎหมายภายในกองทัพกัมพูชาเอง ก็ให้ว่ากันไปตามกฏและระเบียบภายในซึ่งใครก็คงไม่สามารถไปแทรกแซงได้ แบะสองในขณะที่ไทยต้องรับผิดชอบดูแลเชลยศึกใดๆ ก็ตาม หากมีขอกังวลอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเจ้าตัวเชลยศึก และเป็นการร้องขอใดๆ ตามหลักการร้องขอด้านมนุษยธรรม ไทยก็มีสิทธิเด็ดขาดในการพิจารณาตามหลักการของไทยและรวมถึงจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ทุกประเทศต้องปฏิบัติตาม โดยเฉพาะเรื่อง หลักการไม่ส่งกลับ (non-refouelment) ซึ่งก็คงต้องว่าไปเป็นรายกรณี
นายกัณวีร์ ระบุเพิ่มเติมว่า นี่คงเป็นกลุ่มแรกของเชลยศึก แต่คงไม่ใช่กลุ่มสุดท้าย เพราะสถานการณ์การสู้รบคงยังไม่สิ้นสุดในระยะเวลาอันสั้น ยังไงหากเสนอได้ผมขออนุญาตเสนอให้ไทยทำระเบียบปฏิบัติประจำ (รปจ.) หรือ standard operating procedures (SOPs) ด้านนี้รอไว้ได้เลย
ส่วนกรณีที่ฝ่ายไทยเปิดให้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานภูมิภาคคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross: ICRC) ประจำกรุงเทพฯ ในการเข้าเยี่ยมเชลยศึกชาวกัมพูชาจำนวน 18 นาย ในสถานที่ดูแลของกองทัพภาคที่ 2 เพื่อยืนยันถึงการดูแลสุขภาพ จิตใจ และป้องกันข้อครหาการซ้อมทรมาน ที่ไทยมีกฏหมายป้องกันการซ้อมทรมาน ถือว่าถูกต้องแล้ว เพราะ เป็นเรื่องที่เราต้องปฏิบัติ