กางนโยบายรัฐบาลใหม่ ถ้านายกฯคนที่ 32 ชื่อ 'อนุทิน ชาญวีรกูล'
การเมืองไทยกลับมาสู่วิกฤติความไม่แน่นอนอีกครั้ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นตำแหน่งไปด้วย ซึ่งส่งผลให้สภาผู้แทนราษฎรต้องโหวตเลือก "นายกรัฐมนตรีคนที่ 32" ในไม่ช้า
ขณะนี้สมการการเมืองหมุนไปที่ "พรรคภูมิใจไทย" และ "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" ที่คาดว่าจะถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ภายใต้บริบทที่พรรคภูมิใจไทยมีเสียงสส.ในมือ 96 เสียง ที่ต้องการหาแนวร่วมสนับสนุนให้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา
"ข้อตกลงร่วม" หรือ MOU ที่ถูกตั้งเงื่อนไขยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดอนาคตของรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะเงื่อนไขจาก "พรรคประชาชน" หนึ่งในดีลของภูมิใจไทย ที่ถือเสียงมากสุดถึง 143 เสียง ยังคงยืนยันข้อเรียกร้องที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีใหม่ยุบสภาภายใน 4 เดือน
และจัดทำประชามติรวมถึงตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนพรรคประชาชนจะยืนอยู่ในตำแหน่งฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล
ในขณะเดียวกัน พรรคกล้าธรรมได้ออกแถลงการณ์สนับสนุน "อนุทิน" พร้อมแสดงเงื่อนไขที่ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้มีการแก้ไขกฎหมายที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และให้ผลักดันนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร ซึ่งพรรคภูมิใจไทยรับหลักการนี้แล้ว
ด้านพรรคเพื่อไทยเองเริ่มเผชิญกับการแตกรัง เมื่อลูกพรรคบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มของนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ส.ส. กาญจนบุรี กำลังเจรจาร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างว่ามีเสียงสนับสนุนในมือกว่า 10 เสียง และพรรคไทยสร้างไทยก็ได้ตัดสินใจสนับสนุน "อนุทิน" ซึ่งช่วยเพิ่มเสียงในการจัดตั้งรัฐบาล
เจาะลึกนโยบายพรรคภูมิใจไทย
เมื่อพิจารณานโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่ประกาศในหน้าเว็บไซต์ของพรรค หากท้ายที่สุดรัฐบาลใหม่และนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะได้ชื่อ "อนุทิน" นั่งนายกฯ จะพบ 11 นโยบายเป็นแพ็กเกจที่ครอบคลุมหลากหลายด้าน
โดยเริ่มจากนโยบายเศรษฐกิจฐานรากผ่านโครงการ "เงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท" ที่มีเป้าหมายหยุดวงจรหนี้นอกระบบและสนับสนุนการประกอบอาชีพ โดยให้ผู้มีอายุ 20 ปีขึ้นไปกู้เงินได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน ผ่อนชำระเพียงวันละ 150 บาท เป็นเวลา 365 วัน รวมดอกเบี้ยและเงินต้น 54,750 บาท
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน พรรคภูมิใจไทยเสนอ"Landbridge อ่าวไทย-อันดามัน" ซึ่งจะเชื่อมโยงระหว่างอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมของอาเซียน รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภาคใต้ และสร้าง "ด้ามขวานทอง" เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่
อีกหนึ่งนโยบายที่โดดเด่นคือการพัฒนาการขนส่งสาธารณะ ผ่านการนำรถเมล์ไฟฟ้าเข้ามาเพื่อลดมลพิษ PM2.5 และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยให้บริการค่าบริการที่เริ่มต้น 10 บาท และตั้งเป้าเปลี่ยนระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดให้เป็นรถไฟฟ้าใน 3 ปีข้างหน้า
ด้านการสาธารณสุข พรรคภูมิใจไทยมีแผนการกระจายการรักษาไปสู่ท้องถิ่น ด้วยการเพิ่มค่าตอบแทนให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเป็น 2,000 บาทต่อเดือน พร้อมให้ประกันสุขภาพ และเปิดศูนย์ฟอกไตฟรีทุกอำเภอ
สำหรับการท่องเที่ยว พรรคภูมิใจไทยมีเป้าหมายที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยว 80 ล้านคน พร้อมรายได้ 6 ล้านล้านบาทภายในปี 2570 โดยมีแผนการกำจัด Low Season ด้วยกิจกรรมมากกว่า 300 กิจกรรม และพัฒนา "Wellness Resort of the World"
อีกหนึ่งนโยบายที่น่าสนใจคือ "พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอก" ซึ่งช่วยให้ประชาชนหยุดจ่ายหนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี โดยไม่ต้องจ่ายเงินในช่วงดังกล่าว
พรรคภูมิใจไทยยังไม่ลืมเกษตรกรรม โดยเสนอ "เกษตรร่ำรวย ด้วย Contract Farming" ที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถรู้ราคาก่อนปลูกและรับเงินก่อนขาย นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนระบบสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสำหรับพืชเศรษฐกิจหลายชนิด
ในด้านพลังงานสะอาด พรรคภูมิใจไทยมีแผนติดตั้งโซลาร์เซลล์ฟรีบนหลังคาบ้าน ลดค่าไฟ 450 บาทต่อเดือน และส่งเสริมการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าราคาถูก พร้อมสิทธิ์การใช้เครดิตพลังงานนาน 25 ปี
ความท้าทายด้านงบประมาณ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ระบุว่า นโยบายของพรรคภูมิใจไทยใช้เงินถึง 1.9 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในบรรดา 6 พรรคใหญ่ โดยส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้
พรรคใช้ "เงินนอกงบประมาณ" สูงถึงปีละ 7 แสนล้านบาทจากนโยบายเงินกู้ฉุกเฉิน ซึ่งต้องอาศัยสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
นอกจากนี้ยังมีนโยบายสำคัญหลายข้อที่ไม่ได้รายงานต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เช่น นโยบายพักหนี้ที่อาจใช้เงินไม่น้อยกว่า 9 แสนล้านบาทตลอด 3 ปี
ยังไม่มีใครรู้ว่าพรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จหรือไม่ จนกว่าจะมีการประชุมสภาฯเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และได้ชื่อ "อนุทิน" เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นโยบายเหล่านี้จึงจะเป็นไปได้ที่จะได้ผลักดัน