จับตาแรงงานกัมพูชาหลั่งไหลเข้าไทย กมธ.ห่วงกระทบมั่นคง สั่งเข้มตรวจซิม-ตัวตนแรงงาน
นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลกระทบจากการเรียกแรงงานกัมพูชากลับประเทศ จากผลกระทบ เหตุการณ์ชายแดน-ไทยกัมพูชาว่ากรรมาธิการได้เชิญตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาสอบถามสถานการณ์ตามแนวชายแดน ในพื้นที่ 7 จังหวัด รวมถึงทราบ รายงานจากสภาความมั่นคงแห่งชาติภายหลังทางกัมพูชาประกาศว่าแรงงานของตนเองเดินทางกลับประเทศจำนวนนับแสนคน ซึ่งจากรายงานทราบว่ามีแรงงาน ที่เข้ามาในประเทศไทยชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 543,000 คน ซึ่งความเป็นจริงแรงงาน กัมพูชาเดินทางกลับประเทศ วันละ 30,000-40,000 คน และยอดที่เข้ามา ยังคงเหลืออยู่ร่วมๆ 1,500,000คน ดังนั้นจึงเป็นตัวเลขที่ประมาณการได้ว่า แรงงานชาวกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทยมีจำนวน 2,000,000 กว่าคน
นอกจากนี้ ผู้แทนของกัมพูชาก็ได้เข้ามาให้ข้อมูลกับทางกรรมาธิการ ขณะที่กระทรวงแรงงาน มียุทธศาสตร์ในการตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจ ใน7จังหวัดชายแดน ซึ่งมีมาตรการในการดูแลแรงงานชาวกัมพูชา โดยจะมีการอัตลักษณ์แรงงานทั้งหมด ขณะที่ผู้ว่าราชการ 7 จังหวัดชายแดน ได้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยหลังจากนี้ทางกรรมาธิการก็จะเชิญแม่ทัพภาคที่หนึ่งและสองอีกครั้ง แต่เบื้องต้นทราบว่าการบูรณาการครั้งนี้ยังมีความล่าช้า ทั้งตัวเลขและการบริหารในรูปแบบ การทำงานร่วมกันโดยมีประสิทธิภาพ
ขณะที่แรงงานกัมพูชาที่เข้ามาใหม่หรือกลับประเทศจะต้องมีการบันทึก ข้อมูลอัตลักษณ์ของแรงงานชาวกัมพูชา แม้กระทั่งโทรศัพท์และการลงทะเบียนซิมของชาวกัมพูชา ที่เข้ามาตามฤดูกาล ก็จะต้องสามารถตรวจสอบได้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อความมั่นคง
ในขณะเดียวกันก็ทราบว่าแรงงานชาวกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทย ก็ไม่มีความประสงค์ที่จะเดินทางกลับประเทศตัวเอง แต่ด้วยมาตรการของทางกัมพูชาที่ออกมาเชิงบังคับ ซึ่งข่าวที่ออกมาตนก็ไม่แน่ใจว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวเท็จที่ว่า หากไม่เดินทางกลับไปยังประเทศกัมพูชา จะยึดทรัพย์สินรวมถึงที่ดินและสัญชาติ และขอยืนยันว่าฝ่ายไทยไม่มีการใช้กำลังกับแรงงานชาวกัมพูชาแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันกรรมาธิการแรงงานจะลงพื้นที่ไปดูการใช้แรงงานชาวกัมพูชา เพื่อติดตามสถานการณ์ และยังเห็นว่าการสู้รบ ในเชิงเอาแรงงานมากดดัน หรือมาสู้รบเชิงเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะถือว่าเป็นการขัดแย้งระหว่างผู้นำประเทศทั้งสองฝ่าย การจะเอาภาคประชาชนมาอยู่ในสนามรบ ก็จะเกิดความลำบากทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งประเทศที่ 3 ก็กำลังดูทิศทางอยู่ โดยจะกำหนดทิศทางว่าจะให้ไทยเลือกข้างประเทศใด ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายดังนั้นการที่ประเทศไทยดำเนินการทางด้านยุทธศาสตร์ ผลกระทบจากการสู้รบครั้งนี้ โดยมีประเทศอื่นบังคับให้ไทยเลือกตั้งก็ถือว่าเป็นการแพ้ ซึ่งความจริงแล้วไทยจะต้องเป็นกลาง ระหว่างประเทศมหาอำนาจ
ส่วน 3 เดือนข้างหน้า จะไม่เข้าสู่วิกฤติแรงงานหรือไม่นั้น นายสฤษฏ์พงษ์ มองว่า วิกฤตเรื่องนี้เป็นวิกฤติระยะสั้น ส่วนตัวคิดว่าแก้ไขปัญหาได้