เศรษฐกิจไทยเสี่ยงวิกฤติเหลือโต 0.4% ปี 69 หากดีลภาษีสหรัฐฯล่ม
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยโดยประเมินเศรษฐกิจไทยปี 68 ว่า จะยังขยายตัวใกล้เคียงมุมมองเดิมที่ 1.5% แม้ในกรณีที่ไทยเจรจาสหรัฐฯ ขอลดภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ลงได้บ้างภายใน 1 ส.ค.68 แต่อัตราภาษีไทยสูงกว่าคู่แข่งหลัก
ส่วนหนึ่งเพราะมีการเร่ง Front-loading สินค้าส่งออกก่อนสหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงไว้แล้ว แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง การส่งออกจะได้รับผลกระทบรุนแรงขึ้นจาก Reciprocal tariffs ไทยที่อาจสูงกว่าคู่แข่งในตลาดสหรัฐฯ ในปัจจุบันพบว่า กำแพงภาษีสหรัฐฯ รายสินค้าเริ่มส่งผลลบต่อคู่ค้าที่เน้นส่งออกสินค้าที่ถูกเก็บ Specific tariffs แล้ว
ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 69 จะขยายตัวต่ำลงมาก โดยคาดว่าจะเหลือเพียง 1.2% จากการส่งออก และลงทุนภาคเอกชน ที่จะหดตัวมากขึ้นจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อเนื่องไปถึงปี 69 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยเผชิญความเสี่ยงจากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ให้คู่แข่งที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้ต่ำกว่า โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีแนวโน้มจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่งในอาเซียน, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
นอกจากนี้ ไทยอาจเผชิญความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีสินค้าสวมสิทธิ เช่นเดียวกับเวียดนาม ซึ่งจะยิ่งเพิ่มต้นทุนการค้า รวมถึงสินค้าไทยอาจต้องเผชิญมาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้น กระทบการส่งออกสินค้าไทยที่มีสัดส่วนการนำเข้า (Import content) สูงเพิ่มเติมอีกด้วย
สำหรับกรณีเลวร้าย (Worse case) หากไทยเจรจาไม่สำเร็จ โดยสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้ไทยในอัตรา 36% เท่าเดิม เริ่มตั้งแต่ 1 ส.ค.68 แต่คู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ เช่น เวียดนาม เสียภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำกว่ามากอยู่ที่ 20% นั้น SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตเหลือเพียง 1.1% ในปีนี้ และขยายตัวต่ำลงมากเหลือเพียง 0.4% ในปี 69 จากการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่จะหดตัวมากต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไปต้องจับตาข้อเสนอใหม่ของไทย ในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยปัจจุบันรัฐบาลยังคงพิจารณาการเปิดตลาดเสรีตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคเกษตร เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการ
SCB EIC ประเมินว่า อุตสาหกรรมเกษตรและปศุสัตว์ โดยเฉพาะสุกร, ไก่เนื้อ และข้าวโพด จัดอยู่ในกลุ่มที่มีความอ่อนไหวสูง หากไทยต้องเปิดตลาดเสรีให้สินค้าสหรัฐฯ เนื่องจาก
- ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ (รวมค่าขนส่งมาไทย) ค่อนข้างมาก
- ปัจจุบันไทยพึ่งพาผลผลิตในประเทศเป็นหลัก หากจะต้องพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้น ภาครัฐจะต้องพิจารณาประเด็นความมั่นคงทางอาหารของประเทศอย่างสมดุล
- ผู้ผลิตและผู้เล่นที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิตในประเทศ อาจได้รับผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่มีต้นทุนผลิตสูงกว่า
ดังนั้น หากไทยจะเปิดเสรีสินค้าเกษตรกับสหรัฐฯ ภาครัฐจะต้องเตรียมมาตรการรองรับ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ และช่วยให้สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
นอกจากผลการเจรจาต่อรองการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังไม่แน่นอน เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะมีแรงกดดันเพิ่มเติม จากหลายปัจจัย ประกอบด้วย
- การท่องเที่ยวไทยยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงสูง แม้นักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อการใช้จ่ายท่องเที่ยวในระยะข้างหน้า
- ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ที่จะกระทบเศรษฐกิจไทยได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของมาตรการตอบโต้ระหว่างกัน
- ความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่อาจกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 68-69