ดาวโจนส์ปิดพุ่งกว่า 500 จุด รับข่าวดีข้อตกลงการค้าญี่ปุ่น หนุนความหวังดีลสหรัฐฯ-ยุโรป
ดาวโจนส์ปิดพุ่งกว่า 500 จุด รับข่าวดีข้อตกลงการค้าญี่ปุ่น หนุนความหวังดีลสหรัฐฯ-ยุโรป
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -24 ก.ค. 68 7:48: น.
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนบวกในวันพุธ (23 ก.ค.) ท่ามกลางความเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าในระดับเดียวกับข้อตกลงของญี่ปุ่นที่ประกาศไปวานนี้ ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 507.85 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 และแนสแดคทำนิวไฮ จากแรงหนุนหุ้น Nvidia และ GE Vernova
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดเพิ่มขึ้น 507.85 จุด หรือ 1.14% ปิดที่ 45,010.29 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 49.29 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 6,358.91 จุด และดัชนีแนสแดค ปิดเพิ่มขึ้น 127.33 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 21,020.02 จุด
โดยดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ระดับใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ปีที่แล้ว ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วประมาณ 8% ในปี 2025 และดัชนีแนสแดค เพิ่มขึ้นเกือบ 9%
ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป คาดว่าจะกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปในอัตรา 15% ซึ่งอาจรวมถึงรถยนต์ด้วย โดยอัตรานี้จะสะท้อนกรอบข้อตกลงที่สหรัฐฯ บรรลุกับญี่ปุ่น ซึ่งนายแลร์รี่ เทนทาเรลลี (Larry Tentarelli) หัวหน้านักกลยุทธ์ด้านเทคนิคจาก Blue Chip Daily Trend Report กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่หนุนตลาดมาจากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ จะเดินหน้าทำงานในการบรรลุข้อตกลงทางการค้าเหล่านี้ต่อไป
หุ้น GE Vernova ปิดพุ่งขึ้น 14.6% ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าแห่งนี้ปรับเพิ่มประมาณการรายได้และกระแสเงินสดอิสระ และสามารถทำกำไรไตรมาส 2 ได้สูงกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ โดยหุ้น GE Vernova ปรับขึ้นมาแล้วกว่า 80% ในปี 2025 หลังคาดว่าการใช้พลังงานมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของศูนย์ข้อมูล AI และสกุลเงินดิจิทัล
ขณะที่หุ้น Nvidia ผู้ผลิตชิป AI รายใหญ่ เพิ่มขึ้น 2.25% และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนดัชนี S&P 500 และแนสแดค ด้านหุ้น Tesla ปิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.14% ก่อนรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ที่จะประกาศหลังตลาดปิดทำการ โดยมีการคาดการณ์ว่า Tesla จะรายงานยอดขายที่ลดลงอย่างมาก อันเนื่องมาจากการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น การขาดแคลนรถยนต์รุ่นใหม่ และกระแสต่อต้านอีลอน มัสก์ ขณะที่หุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google ปรับลดลง 0.58% โดยมีกำหนดรายงานผลประกอบการหลังตลาดปิดทำการเช่นกัน
ดัชนี CBOE Volatility Index ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกกังวลของวอลล์สตรีท ปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 เดือน
ข้อมูลจาก LSEG I/B/E/S ระบุว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทในดัชนี S&P 500 จะรายงานกำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นที่ 7.5% และยังคาดว่าหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Microsoft, Nvidia และอื่น ๆ ซึ่งมีมูลค่าหุ้นสูงขึ้นจากการเป็นผู้นำด้าน AI นั้น จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของกำไรในไตรมาสนี้
ด้านหุ้น Thermo Fisher ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์พุ่งขึ้นกว่า 9% หลังทำกำไรและรายได้ไตรมาส 2 สูงกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ ขณะที่หุ้น Texas Instruments ร่วงลง 13% หลังคาดการณ์กำไรไตรมาส 2 ที่บ่งชี้ถึงความต้องการชิปอนาล็อกที่อ่อนแอเกินคาด และเน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับภาษี ซึ่งรายงานผลประกอบการของ Texas Instruments ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิปอนาล็อกรายอื่น ๆ โดยหุ้น NXP Semiconductors, Analog Devices และ ON Semiconductor ต่างปรับตัวลดลงระหว่าง 1-4.6%
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดยังแสดงให้เห็นว่า ยอดขายบ้านมือ 2 ของสหรัฐฯ ในเดือนมิ.ย. ลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งล่าสุด นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี และข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นจาก S&P Global เพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภาษี
ทั้งนี้ เครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า หลังมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่หลากหลายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้นักลงทุนปรับลดโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า และให้น้ำหนักการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. อยู่ที่ 58%
ที่มา Reuters
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ