อาชญากรรมสงคราม คืออะไร และการกระทำใดที่เข้าข่ายบ้าง ?
แม้ในท่ามกลางความโหดร้ายและความโกลาหลของสงคราม ในทุกๆสมรภูมิที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปีไหน พ.ศ. ไหน ก็ตาม , มนุษยชาติยังคงพยายามขีดเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างการสู้รบที่จำเป็นกับการกระทำที่โหดเหี้ยมเกินกว่าจะยอมรับได้ เส้นแบ่งนั้นคือสิ่งที่เรารู้จักกันในนาม "กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ" และการละเมิดกฎเกณฑ์เหล่านี้ก็นำไปสู่ข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุดข้อหนึ่ง นั่นคือ อาชญากรรมสงคราม
แต่แนวคิดนี้มีจุดเริ่มต้นจากที่ใด และอะไรคือเส้นแบ่งที่แท้จริงระหว่างการกระทำอันน่าเศร้าของสงครามกับอาชญากรรมที่ไม่อาจให้อภัยได้ ?
จุดกำเนิดจากความเมตตาในสนามรบ
เรื่องราวต้องย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1859 ณ สมรภูมิโซลเฟริโน (Solferino) ในอิตาลี นักธุรกิจชาวสวิสจากเจนีวา ชื่อว่า อังรี ดูนังต์ (Henri Dunant) ได้เผชิญหน้ากับภาพความเป็นจริงของสงครามที่น่าสยดสยอง ทหารหลายพันนายถูกทอดทิ้งให้เผชิญความตายอย่างทุกข์ทรมานในสนามรบโดยปราศจากการดูแล
ประสบการณ์ครั้งนั้นได้สร้างความเศร้าเกาะกุมในจิตใจของเขา จนนำไปสู่การตีพิมพ์หนังสือ "ความทรงจำแห่งโซลเฟริโน" (A Memory of Solferino) ซึ่งไม่เพียงแต่บันทึกความโหดร้ายที่เขาพบเห็น แต่ยังเป็นการเรียกร้องให้ประชาคมโลกสร้างกลไกเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมานที่ไม่จำเป็นในสงคราม
แรงผลักดันจากดูนังต์ได้นำไปสู่การก่อตั้ง คณะกรรมการกาชาดสากล (ICRC) ในปี 1863 และ culminate ใน อนุสัญญาเจนีวาฉบับแรก ในปี 1864 ซึ่งถือเป็นกฎหมายระหว่างประเทศฉบับแรกที่ให้ความคุ้มครองแก่ทหารที่บาดเจ็บในสนามรบ นี่คือรากฐานสำคัญที่ต่อมาได้แตกแขนงออกเป็น กลุ่มอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งมุ่งเน้นการคุ้มครองพลเรือนและผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการรบ และ กลุ่มอนุสัญญากรุงเฮก ที่วางกรอบจำกัดวิธีการและอาวุธที่ใช้ในการทำสงคราม
จากความพยายามสู่การบังคับใช้
แม้จะมีกฎเกณฑ์เกิดขึ้น แต่การนำผู้กระทำผิดมารับโทษยังคงเป็นเรื่องที่ห่างไกลความจริง ความพยายามดำเนินคดีกับอาชญากรสงครามหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งประสบความล้มเหลว แต่จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ได้เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง การจัดตั้ง ศาลทหารนูเรมเบิร์ก (The Nuremberg Charter) เพื่อพิจารณาคดีอดีตผู้นำนาซี ได้สร้างบรรทัดฐานที่ว่าปัจเจกบุคคล ไม่ว่าจะมีตำแหน่งสูงเพียงใด ก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำอันโหดร้ายของตน
ปัจจุบัน แนวคิดนี้ถูกบัญญัติไว้อย่างเป็นทางการใน ธรรมนูญกรุงโรม ปี 1998 ซึ่งเป็นกฎหมายก่อตั้ง ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) โดยกำหนดให้ "อาชญากรรมสงคราม" เป็นหนึ่งในสี่ฐานความผิดอาญาร้ายแรงสูงสุดที่อยู่ในเขตอำนาจของศาล
เส้นแบ่งระหว่างการรบกับอาชญากรรม
คำถามสำคัญคือ แล้วการกระทำแบบใดจึงจะถูกเรียกว่าอาชญากรรมสงคราม? เงื่อนไขแรกสุดคือ การกระทำนั้นต้องเกิดขึ้นในบริบทของ "การขัดกันทางอาวุธ" (Armed Conflict) ซึ่งหมายถึงการปะทะกันด้วยกำลังอาวุธระหว่างสองฝ่ายขึ้นไป ไม่ว่าจะมีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการหรือไม่ก็ตาม
สถานการณ์นี้ครอบคลุมทั้ง:
การขัดกันทางอาวุธระหว่างประเทศ (International Armed Conflict): เช่น การที่รัสเซียรุกรานยูเครน
การขัดกันทางอาวุธภายในประเทศ (Internal Armed Conflict): เช่น สงครามกลางเมืองในซีเรียระหว่างรัฐบาลและกลุ่มกบฏ
หากไม่มีสถานการณ์การขัดกันทางอาวุธ การกระทำรุนแรง เช่น ทหารยิงพลเรือน จะถูกพิจารณาเป็นคดีฆาตกรรมภายใต้กฎหมายอาญาของประเทศนั้นๆ แต่หากการกระทำเดียวกันเกิดขึ้นท่ามกลางการขัดกันทางอาวุธ มันจะยกระดับขึ้นเป็นอาชญากรรมสงครามทันที และอาจอยู่ภายใต้อำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ
การกระทำที่เข้าข่าย 'อาชญากรรมสงคราม'
เมื่อมีการขัดกันทางอาวุธเกิดขึ้น การโจมตีโดยเจตนาในลักษณะต่อไปนี้จะถือเป็นอาชญากรรมสงครามอย่างชัดเจน:
การโจมตีผู้ที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมรบ (Hors de Combat): หมายถึงการจงใจโจมตีทหารที่ยอมจำนน, ทหารที่บาดเจ็บจนป้องกันตัวไม่ได้ หรือเชลยศึก
การโจมตีพลเรือนโดยตรง: พลเรือนและเป้าหมายที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร (เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน) ได้รับการคุ้มครอง และการจงใจโจมตีถือเป็นการละเมิดที่ร้ายแรง
การโจมตีที่ไม่ได้สัดส่วน (Disproportionate Attack): แม้จะตั้งใจโจมตีเป้าหมายทางทหาร แต่หากการโจมตีนั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนอย่างมหาศาล "เกินกว่า" ความได้เปรียบทางทหารที่คาดว่าจะได้รับ ก็อาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงครามได้
การใช้วิธีการรบที่ต้องห้าม: การทำสงครามมีขอบเขต แม้เป้าหมายจะเป็นทหารฝ่ายตรงข้าม แต่หากใช้วิธีการที่ขัดต่อกฎหมายและธรรมเนียมสงครามก็เป็นความผิดได้ เช่น:
การใช้อาวุธมีพิษหรือแก๊สพิษ
การใช้โล่มนุษย์ (Human Shields): การนำพลเรือนมาเป็นเกราะกำบังเพื่อขัดขวางการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
การหักหลังหรือโกงความไว้ใจ (Perfidy): เช่น การแสร้งทำเป็นยอมแพ้โดยการชูธงขาวเพื่อลวงให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจ แล้วเข้าโจมตี
ความรับผิดชอบต่ออาชญากรรมสงครามไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทหารระดับปฏิบัติการที่ลั่นไกเท่านั้น แต่ยังสามารถไล่ขึ้นไปถึงผู้บังคับบัญชาและผู้นำระดับสูงที่ออกคำสั่งหรือเพิกเฉยต่อการกระทำผิดของผู้ใต้บังคับบัญชา
กฎเกณฑ์เพื่อยับยั้งสงคราม
เมื่อพิจารณาข้อจำกัดเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าวิธีการทำสงครามที่ไม่เข้าข่ายอาชญากรรมสงครามนั้นเหลืออยู่เพียง "การตั้งใจโจมตีทหารที่พร้อมรบของฝ่ายตรงข้าม โดยระมัดระวังไม่ให้พลเรือนได้รับความเสียหายเกินสมควร และใช้วิธีการที่ไม่ขัดต่อธรรมเนียมการทำสงคราม" ซึ่งในความเป็นจริงในสนามรบนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง
บางทีความเข้มงวดของกฎเกณฑ์เหล่านี้อาจมีเจตนาซ่อนเร้นอยู่ นั่นคือการทำให้สงครามเป็นสิ่งที่ดำเนินไปได้ยากที่สุด เพื่อย้ำเตือนมนุษยชาติว่า หนทางสู่สันติภาพผ่านการเจรจา ย่อมเป็นทางออกที่ดีกว่าการจับอาวุธเข้าประหัตประหารกันเสมอ