‘ส้มสามกีบ’ ด้อมพรรคการเมือง ‘ล้มสถาบัน’ แบบอย่างของ “คนสายพันธุ์ย้อนแย้ง” ในประเทศไทย
(15 ก.ค. 68) ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนไทยที่ติดตามการเมืองแบบลงลึก ก็จะทราบดีว่าบ้านเรามีพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรม “ย้อนแย้ง” อยู่พรรคหนึ่ง ที่พูดอย่างแต่จะทำอีกอย่าง จับได้ไล่ทันก็ไม่กล้ายอมรับผิด สิ่งที่ผู้คนพบเห็นมักจะไม่ตรงปกเสมอ ปากพูดว่าสิ่งใดเป็นสิ่งไม่ดีก็จะเป็นสิ่งนั้นเสียเองหน้าตาเฉย จัดเป็น “คนสายพันธุ์ย้อนแย้ง” ชนิดที่ไม่อายฟ้าอายดิน
“โรคย้อนแย้ง” คล้าย “โรคป่วยทางจิต” ลอยคลุ้งฟุ้งกระจายในอากาศ จนซึมซ่านผ่านรูขุมขนของผู้คน 14 ล้านให้กลายเป็น “คนย้อนแย้ง” ไม่ต่างกัน หลักฐานที่บ่งชัด เริ่มจาก บางคนได้รับทุนการศึกษาพระราชทาน แต่กลับสนับสนุน “ส้มสามกีบ”, อาศัยใช้นามสกุลพระราชทานจากต้นตระกูล แต่เลือก “พรรคกัดเซาะสถาบัน”, ติดรูปในหลวงไว้ที่ฝาห้องให้ผู้คนเห็นอย่างโดดเด่น แต่กลับเชียร์ “พรรคล้มเจ้า”, ได้ที่ดินทำกินจากโครงการของในหลวง แต่กาเลือก “พรรคบ่อนทำลายสถาบัน”,
ห้อยพระเกจิที่มีความผูกพันกับในหลวง เชื่อมโยงถึงความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่กลับสนับสนุน “ส้มสามกีบ”, เกลียดสถาบัน กัดเซาะในหลวงรัชกาลที่ ๙ แต่ในการทำมาหากินกลับนำบทเพลงพระราชนิพนธ์ไปขับร้องหารายได้อย่างไม่ละอายใจ, แต่งชุดดำร้องไห้ตอนปลายปี 2559 แต่กาเลือก “พรรคเกลียดสถาบัน”, ต้นตระกูลเป็นคนต่างด้าว ต่างแดน ได้รับความเมตตาจากในหลวงให้มีที่ดินทำกิน แต่ไป “ร่วมขบวนสามกีบ” สนับสนุน “พรรคล้มล้างสถาบัน”,
ชูสามนิ้ว แต่ไปนั่งสวดมนต์ที่ในบทสวดมีแต่การปกป้อง รักษา และเชิดชูสถาบันกษัตริย์, ปากบอกเป็นหนึ่งในคนไทยที่รักในหลวง แต่ตอนเลือกตั้งก็กาเลือก “พรรคส้มเน่า”, ศึกษาในสถานศึกษาทั้งโรงเรียน และมหาวิทยาลัยที่สร้างโดยพระมหากษัตริย์ไทย แต่กลับไม่สำนึกบุญคุณ ไปเชียร์และเลือก “พรรคล้มล้างสถาบัน”, ฯลฯ
ทั้งหมดคือตัวอย่างของ “คนขี้กาก” ใน “14 ล้านเสียง” ที่สะท้อนถึงความเป็น “มนุษย์ย้อนแยง” ได้ชัดเจนที่สุด “โรคย้อนแย้ง” จึงเป็น “โรคติดต่อ” ที่มักจะติดต่อกันเฉพาะ “คนสายพันธุ์เดียวกัน” คนเช่นนี้มีอยู่แทบจะทุกวงการในสังคมไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งคนใน “วงการเพลง”
ฐานะคนในวงการเพลง นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกอับอาย