เป็น ‘ลูกสาว’ เป็น ‘หญิงรักหญิง’ และเป็น ‘คนใต้’ การต่อสู้ของแซฟฟิกภาคใต้ ที่กอดตัวตนของตัวเองไว้ ในพื้นที่ที่ยังกอดความเป็นอนุรักษ์นิยมไว้แน่นหนา ซึ่งเชื่อว่าลูกสาวทุกบ้านต้องมี ‘ผู้ชาย’ คอยดูแล
เหล่าแซฟฟิกคนใต้เผชิญความท้าทายในการเป็นตัวเอง จนบางคนพูดออกมาว่า ตอนเธอเดินทางไปใช้ชีวิตกับแฟนผู้หญิงที่กรุงเทพฯ มันง่ายและสบายใจกว่า…นั่นเป็นเพราะอะไร?
ไม่ได้บอกว่าแซฟฟิกเมืองหลวงทุกคนจะไม่พบเจออคติทางเพศ หรือเรื่องยากๆ อะไรในชีวิต เพียงแต่‘สถานการณ์ LBTQ ภาคใต้’ หรือแต่ละภูมิภาคนอกเหนือจากกรุงเทพฯ อาจมีประเด็นละเอียดอ่อนที่แตกต่างกันออกไป บางแง่มุมก็เป็นประเด็นทับซ้อนในเชิงบริบทพื้นที่ มีเรื่องวัฒนธรรมและศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นความเฉพาะเจาะจง ที่น่าหยิบมาพูดถึงและชวนมารับฟัง
ไม่นานนี้เราเพิ่งไปร่วมฟังวงสนทนาที่รวมตัวแซฟฟิกคนใต้มาคุยกันในงาน ‘ใต้ถุนบ้าน: เรื่อง(ที่ยังไม่ได้)เล่าของชุมชน LBTQIANSapphic’ โดย องค์กรเฟมินิสต์ ‘การเมืองหลังบ้าน’ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังของผู้หญิง หญิงรักหญิง ทอม และเควียร์ ที่ตั้งใจสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ ‘ทุกคน’ สามารถพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกได้โดยไม่มีใครตัดสิน เหมือนได้นั่งคุยกับคนที่รู้สึกสบายใจบริเวณใต้ถุนบ้าน
เราได้เห็นการต่อสู้ ได้เห็นความอัดอั้น ได้เห็นความรู้สึก ได้เห็นความแข็งแกร่ง และได้เห็นแง่มุมอันหลากหลายจากเรื่องจริงที่ออกมาจากปากคนเป็นแซฟฟิกจริงๆ ที่มีทั้งไบเซ็กชวล ทอม เลสเบี้ยน จนถึงมีบางคนที่ยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นอะไรเพราะมีความกลัวบางอย่างจากการถูกกดทับในที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เลือกมานั่งฟังอยู่ในวงสนทนานี้เช่นกัน
และนี่คือส่วนหนึ่งของบทสนทนาในวันนั้นที่สามารถนำมาออกอากาศได้ ตั้งแต่ความคาดหวังของครอบครัวต่อ ‘ลูกสาว’ นิยามเพศที่ยังมีอยู่จำกัด และบางคำก็เหมือนคำต้องห้ามซึ่งคนในพื้นที่หลายคนไม่กล้าพูดออกมาว่า ‘เป็นอะไร’ สถานะความเป็นหญิงที่ยังผูกโยงเข้ากับ ‘ผู้ชาย’ นำไปสู่การจับคู่ดูตัว คนในชุมชนที่คอยจับผิดและตั้งคำถามตลอดเวลา จนถึงความยากในการสื่อสารของครอบครัวต่อลูก เมื่อมีความรู้เรื่องความหลากหลายทางเพศไม่เพียงพอ และมีชุดความคิดอนุรักษ์นิยมอย่างแน่นหนาในหัว ฯลฯ…และจริงๆ ยังมีอีกหลายประเด็นในภาคใต้ที่เราได้นั่งฟัง แต่ไม่อาจนำมาเผยแพร่ได้ เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่จะ ‘พร้อม’ ต่อผลที่ตามมา และนั่นสะท้อนการถูกกดทับในพื้นที่ที่อยู่อาศัย ซึ่งยังมีอยู่ไม่น้อย ณ วันนี้
เสียงจาก ‘วรรณิดา อาทิตยพงศ์’ นักเขียนอิสระ
“ตอนเราอยู่บ้าน เราพยายามหาคนที่มีอัตลักษณ์คล้ายๆ เรา ซึ่งเราพบว่าทุกคนจะไม่ยอมเรียกว่า ตัวเองเป็นอะไร อย่างแม่เราที่แม้จะเริ่มเข้าใจ แต่ก็ยังจะพูดว่า ลูกบ้านนั้นเป็นแบบนี้ เป็น ‘ไอ้นั่นอะ’ มันจะไม่มีคำว่า ทอมหรือเลสเบี้ยน หรือน้องคนหนึ่งในชุมชน เขาให้เรียกว่าเขามีแฟนเป็นผู้หญิง แต่ไม่พูดว่าเป็นอะไร มีวันหนึ่งเราพูดว่า เราเป็นเลสเบี้ยนเหมือนกัน เขาหน้าเหวอ เพราะนี่เป็นคำต้องห้าม ต้องเงียบปากไว้ และถึงจะมีคู่รักหญิงหญิงที่แต่งงานกันใหญ่โต เขาก็ยังไม่เรียกว่าตัวเองเป็นอะไร เขาไม่พูด เพราะทุกคนจะมองอย่างแปลกประหลาด”
“เรื่องตัดผมก็เป็นประเด็น ที่นี่แทบจะไม่มีร้านตัดผมให้ผู้หญิงตัดผมทรงที่ดูเป็นผู้ชาย เราต้องไปตัดที่หาดใหญ่ พอกลับมาคนจะทักว่าเป็นทอม และปฏิบัติกับเราไม่เหมือนตอนผมยาว แล้วก็ไปลือที่ตลาดว่า ลูกบ้านนี้เป็นทอม การมีอยู่ของเรามันถูกจับจ้อง ทำให้เราเป็นตัวเองไม่ได้ แม้กระทั่งเพื่อนเราที่อยู่ในชุมชน ก็ไม่เข้าใจว่าจะดิ้นรนเพื่อเป็นตัวเองทำไม ก็แค่อยู่เงียบๆ ไปสิ”
“แวบหนึ่งเราคิดว่ามันง่ายกว่ามากถ้ามีแฟนเป็นผู้ชาย เพราะมันจะง่ายกว่ามากถ้าบ้านมีผู้ชายอยู่ การถูกคุกคามจากข้างบ้านก็จะน้อยลง อย่างพ่อเราป่วยเป็นอัลไซเมอร์ พอบ้านมันไม่มีผู้ชาย เราก็ต้องไปหาผู้ชายหนึ่งคน เพื่อแสดงว่าที่นี่มีผู้ชาย อย่ามายุ่ง แต่ตัวเราคนเดียวกลับยืนยันสิ่งนี้ไม่ได้ ถึงแม้เราจะทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่คนก็ไม่ยอมรับว่า ‘เราดูแลตัวเองได้’…การเป็นลูกสาว มันคือการถูกบังคับให้กลับไปที่บ้าน แต่ลูกชายจะไปไหนก็ไป ยิ่งเป็นลูกสาว เป็นเลสเบี้ยน และไม่มีครอบครัวอีก ทุกอย่างที่บ้าน ก็ต้องมาตกที่เราคนเดียว แต่ไม่ว่าเราจะทำอะไรเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้อะไร ขณะที่ลูกชายจะได้รับคำชมเป็นล้าน มันซ้อนทับมากจนเราอยากจะหนีจากตรงนี้ เหมือนสังคมคาดหวังให้เราเป็นลูกสาวที่ดี แต่พอเป็นเลสเบี้ยนไปด้วย ก็ไม่มีที่ให้ยืน”
เสียงจาก ‘นันทชา ชูช่วย’ นักกิจกรรม
“ฟิล์มมาจากตรังนะคะ เราโตมากับครอบครัวที่บทบาทหน้าที่ของผู้ชายและผู้หญิงค่อนข้างชัดเจน ผู้ชายยังไงก็ได้ เหมือนลูกเทวดา ส่วนผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว โตมาก็ต้องเป็นผู้หญิง ต้องเป็นลูกสาว เป็นแม่ เป็นเมีย พอเรามีแฟนเป็นผู้หญิง แม่เขาก็ถามว่า แล้วลูกล่ะเป็นอะไร เพราะเราก็ผมยาว แฟนก็ผมยาว ใครเป็นทอม ใครเป็นดี้ สุดท้ายเราก็รู้สึกว่า ตอนเรามีแฟนที่กรุงเทพฯ ใช้ชีวิตง่ายมาก มันพูดแค่ว่าเราเป็นอะไรแล้วทุกคนจบ เข้าใจ แต่พอเอาแฟนกลับมาบ้านด้วยปุ๊บ มันไม่มีคำอื่นนอกจากทอมกับดี้ มันไม่มีเลสเบี้ยน มันไม่มีนอนไบนารี่ ถ้าคุณบอกไปแล้ว คุณต้องอธิบายต่อ มันเหนื่อยมากๆ นี่คือปัญหาหนึ่งที่ถ้าเราตอบไม่ได้ว่า แฟนหรือตัวเอง ฝ่ายใดมีบทบาทเป็นชาย และฝ่ายใดเป็นหญิง ก็ไม่ได้รับการยอมรับ”
“ตอนเรามีแฟน แม่เราเรียกแฟนเราว่าเพื่อน ก็อธิบายกับคนอื่นว่าเป็นเพื่อน ถ้าสุดท้ายยิ่งเรียนเก่ง ยิ่งดูแลตัวเองได้ แต่ไม่แต่งงาน มันเหมือน แล้วคุณเป็นผู้หญิงทำไม? สำหรับคนใต้ที่เราโตมา อย่างน้อยต้องมีผู้ชายในบ้าน เป็นพ่อ เป็นผัว มันถึงจะสมบูรณ์แบบ”
เสียงจาก ‘นัยนา ประไพวงศ์’ กระบวนกร
“คนใต้มีความเข้มข้นมากเรื่องความเกลียดกลัว อาจด้วยวัฒนธรรม และเป็นอนุรักษ์นิยม อย่างผู้หญิงจะเข้าไปร้านตัดผมสักร้าน เพื่อตัดผมสั้น จะโดนถามว่าเป็นอะไร ไม่สบายใจหรือเปล่า เครียดเหรอ ทำไมไม่ไว้ผมยาว ทำไมไม่แต่งตัวเหมือนเดิม เป็นทอมเหรอ หรือขนาดเราทำงานเรื่องเพศ ก็ยังไม่สามารถพูดตรงๆ กับที่บ้านได้ว่าเป็นไบเซ็กชวล…ถ้าถามว่าคนที่บ้านเขาสงสัยไหม เขาก็สงสัยว่า ทำไมยังไม่แต่งงาน ยังไม่มีแฟน แต่เขาจะ ‘ไม่พูด’ มันออกมา”
เสียงจาก ‘แสงตะวัน’ ผู้ประสานงานภาคสนาม มูลนิธิรักษ์ไทยนครศรีธรรมราช
“ตอนเราไปอบรมให้นักเรียนฟัง ครูยังอึ้งเลยว่า ความหลากหลายที่มากกว่าคำว่าทอมกับกะเทยมันมีด้วยเหรอ เขาไม่เข้าใจ ตัวเด็กที่ยังสงสัยตัวเองอยู่ บางคนก็เพิ่งมาอ๋อว่าตัวเองเป็นเลสเบี้ยน เขาบอกว่า หนูเข้าใจมาตลอดว่า หนูผิดปกติ เราก็ตกใจว่า ทำไมมีเด็กที่ไม่รู้เยอะมาก แต่ถ้าเด็กในเมืองกลับไม่มีปัญหา เข้าใจตัวเองได้มากกว่า”
เสียงจาก ‘พิ้งค์’ นักวิชาการอิสระ
“คนใต้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ หลอกตัวเองว่า เพื่อนมันแหละ มีคนมาถามว่า สรุปว่าลูกเป็นอะไร เขารู้ลึกๆ แต่เขาแค่ไม่กล้าจะพูด”
“คนใต้มีหัวอนุรักษ์นิยมจ๋า จะคนรุ่นใหม่ขนาดไหน รุ่นเหลน รุ่นหลาน กินข้าวก็ยังต้องอยู่ในระเบียบ ผู้หญิงยังต้องอุ้มลูก ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายไปทำงาน พอเราเป็นผู้หญิง และเป็นลูกคนเดียว มันมีความคาดหวังที่บังคับให้คุณแต่งงาน จบปริญญาเอกมา เราถูกโน้มน้าวให้ไปอยู่บ้าน มีการดูตัวเกิดขึ้น เรารู้ทัน เราก็หนีไป อย่างกับสตอรี่ในหนัง…และยิ่งเรียนสูง ก็ยิ่งเกิดความคาดหวังในคู่ครอง ระดับการดูตัวก็จะ advance ขึ้นไปอีก แต่เราก็ยืนยันกับเขาตลอดว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย”
เสียงจาก ‘อัญชนา สุวรรณานนท์’ ผู้ร่วมก่อตั้งอัญจารี
“มันมีความเชื่อเรื่องครอบครัว ว่าต้องสร้างครอบครัว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความรักต่อพ่อแม่ พ่อแม่พยายามใช้ความรักโน้มน้าว จนมีน้องคนหนึ่งที่คบกับผู้หญิง แต่วันหนึ่งเขาก็เลือกไปแต่งงานกับผู้ชาย นี่คือการบังคับให้เราต้องอยู่ในครอบครัวชาย-หญิง และความคิดนี้มันก็สืบต่อกันมา”
เสียงจาก‘เมย์’ นักกิจกรรม
“อยากมาแชร์มุมมองของผู้ปกครอง เคสหนึ่งที่เราเคยคุยด้วย พ่อรู้ตั้งแต่แรกว่าลูกเขาเป็น แต่เขาไม่มีข้อมูล ไม่มีตำรา ว่าจะต้องเรียนรู้เด็กที่แตกต่างอย่างไร เขาทำได้แค่ปล่อยให้ลูกทำอะไรที่ลูกอยากทำ เหมือนที่บางคนบอกว่า เขารู้แต่เขาก็ไม่ได้ห้าม แต่ฉันก็ไม่ได้พูดว่าฉันยอมรับนะ เพราะมันก็ขัดกับหลักการของตัวเอง และขัดกับสังคมที่อยู่ จนเกิดเหตุว่าลูกซึ่งเป็นซึมเศร้าพยายามฆ่าตัวตาย น้องทานน้ำยาล้างห้องน้ำ พ่อรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ กังวลว่าจะเกิดการกระทำซ้ำ เขาเลยขอคำปรึกษาว่าจะต้องทำยังไง เขาอยากทำ สิ่งที่เราบอกเขา คือให้เขาบอกลูก เหมือนที่เล่าให้เราฟัง แต่เขาก็ทำไม่ได้ เพราะผู้ชายใน 3 จังหวัด ไม่ถูกสอนให้แสดงออกทางความรู้สึก แต่เขาก็พยายามอยู่ เราก็ค่อยๆ ช่วยเขาให้สามารถบอกความรู้สึกตัวเองได้มากขึ้น จนเขาสามารถสื่อสารกับลูกได้ดีขึ้น”
“อีกเคสหนึ่ง พ่อเป็นอิสลาม แม่เป็นพุทธ ที่แต่งงานแล้วเปลี่ยนมาเป็นอิสลาม พอรู้ว่าลูกสาวมีแฟน ก็คิดว่าจะทำยังไงดี เขารู้สึกว่าเขาต่อสู้กับชุมชนไม่ได้ เขาไม่รู้จะตอบคำถามชุมชนยังไง แต่ตัวเขาก็อยากให้ลูกได้เป็นตัวของตัวเอง เขาอยากให้เลือกทางเดินชีวิตเอง จนเกิดความคิดที่จะให้ลูกย้ายที่อยู่ไปกรุงเทพฯ หรือไปอยู่โซนบ้านแม่ที่เขาไม่ได้สนใจเรื่องรสนิยม ลูกจะได้เป็นตัวของตัวเอง”
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- เป็น ‘ลูกสาว’ เป็น ‘หญิงรักหญิง’ และเป็น ‘คนใต้’ การต่อสู้ของแซฟฟิกภาคใต้ ที่กอดตัวตนของตัวเองไว้ ในพื้นที่ที่ยังกอดความเป็นอนุรักษ์นิยมไว้แน่นหนา ซึ่งเชื่อว่าลูกสาวทุกบ้านต้องมี ‘ผู้ชาย’ คอยดูแล
- ย้อนดูถ้อยคำของ Virginia Woolf เมื่อปี 1938 ในปี 2025 ที่สงครามอิหร่าน-อิสราเอลปะทุขึ้น และผู้ชนะอาจเป็นสหรัฐอเมริกา
- ‘ท้าต่อยทอม’ ไม่ใช่บทพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชาย แต่คือเหตุการใช้ความรุนแรงที่ยอมรับไม่ได้ และปัญหาอคติทางเพศที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ซึ่งไม่ควรถูกมองเป็นเรื่องปกติ
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com