‘มิตซูบิชิ’ เตรียมทุ่มเงิน 6.6 พันล้านบาท เสนอซื้อหุ้น ‘ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป’ เพิ่มเป็น 20% ที่ราคา 12.5 บาทต่อหุ้น
MITSUBISHI UFJ หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU เตรียมรับซื้อหุ้นเป็นการทั่วไป (General Offer) เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 20% จากปัจจุบันที่ 6.19%
ปัจจุบัน MITSUBISHI ถือหุ้น TU ในสัดส่วน 6.19% (หากไม่รวมหุ้นซื้อคืนที่บริษัทถืออยู่) หรือสัดส่วน 5.36% (หากรวมหุ้นซื้อคืนที่บริษัทถืออยู่) โดย MITSUBISHI แจ้งว่าจะเสนอซื้อหุ้นเพิ่มอีกราว 532.27 ล้านหุ้น ที่ราคา 12.5 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าราว 6.65 พันล้านบาท
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU เปิดเผยว่า ดีลนี้น่าจะชัดเจนภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ MITSUBISHI ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่แข็งแกร่งในญี่ปุ่น ในฐานะบริษัทอันดับหนึ่งในตลาดทูน่าซาซิมิและตลาดซูชิ และยังเป็นผู้ประกอบการแซลมอนอันดับสองของโลก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจร้านสะดวกซื้ออย่าง Lawson รวมทั้งธุรกิจอาหารสัตว์ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับ TU ได้
สำหรับราคาเสนอซื้อที่ 12.5 บาทต่อหุ้น มาจากราคาซื้อขายเฉลี่ยของ TU ในช่วง 30 วันก่อนหน้านี้ บวกพรีเมียมอีก 20% อย่างไรก็ตาม MITSUBISHI แจ้งว่ายังมีสิทธิในการปรับราคาเสนอซื้อหากมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น
ธีรพงศ์กล่าวต่อว่า MITSUBISHI เป็นผู้ถือหุ้น TU มาตั้งแต่ปี 2534 เป็นเวลากว่า 30 ปี และมีตัวแทนเป็นกรรมการ 1 ท่าน อยู่ในบริษัท
ที่ผ่านมา MITSUBISHI มีการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอย่างต่อเนื่อง กระจายไปในหลากหลายประเทศ รวมทั้งในภูมิภาคนี้ อาทิ เวียดนาม และอินโดนีเซีย
“MITSUBISHI เห็นว่าไทยยูเนี่ยนเป็น Strategic Partner ที่สำคัญในอุตสาหกรรมอาหารทะเล และยังมีเครือข่ายทั่วโลกที่พัฒนามาต่อเนื่องกว่า 40 ปี รวมทั้งรับจ้างผลิตให้ MITSUBISHI ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ตั้งแต่ปลายปีก่อน MITSUBISHI มีความจำนงที่ต้องการทำงานอย่างใกล้ชิด และอยากจะลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การจะเกิดเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นมากขึ้น จึงต้องเพิ่มระดับการลงทุนเป็น 20%”
ธีรพงศ์กล่าวต่อว่า หากสัดส่วนของ MITSUBISHI เพิ่มเป็น 20% จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดียวที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท อย่างไรก็ตาม กลุ่มครอบครัวจันศิริยังคงเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่สุดที่สัดส่วนราว 30%
“การลงทุนครั้งนี้จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ และขอยืนยันว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร คณะผู้บริหารยังคงเหมือนเดิม โดยมีกรรมการจาก MITSUBISHI เพิ่มเป็น 2 ท่าน ตามสัดส่วนการถือหุ้น”
ซีอีโอ TU หวังรายได้กลับมาเติบโต
จากผลประกอบการของ TU ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รายได้ลดลงจาก 1.56 แสนล้านบาท เมื่อปี 2565 มาเป็น 1.37 แสนล้านบาท ในปี 2566 และเมื่อปีก่อนมีรายได้ 1.39 แสนล้านบาท
ธีรพงศ์กล่าวว่า บริษัทยังมุ่งหวังจะเห็นการเติบโตของธุรกิจ โดยเน้นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายที่มีร่วมกัน “และต่อให้ไม่มีดีลนี้เกิดขึ้นเราก็มีแผนงานที่อยากจะเห็นรายได้เติบโตต่อเนื่อง ส่วนการชะลอตัวช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเพราะเงินบาทที่แข็งค่า”
ด้านมุมมองต่อเรื่องภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเป็น 19% สำหรับการส่งออกไปสหรัฐฯ ธีรพงศ์เชื่อว่าความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยยังเหมือนเดิม เพราะอัตราภาษีไม่ได้สูงกว่าประเทศคู่แข่ง และยังต่ำกว่าอีกหลายประเทศ
“โดยเฉพาะกุ้งแช่แข็ง จะเห็นว่าอินเดีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย มีปัจจัยเรื่อง Anti-dumping มาเกี่ยวข้อง ทำให้ภาษีของไทยต่ำสุด ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจของเรา แต่สิ่งที่ต้องตามคือกำลังซื้อในสหรัฐฯ เพราะภาษีจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นไม่มากก็น้อย”
นอกจากนี้ ธีรพงศ์กล่าวถึงมูลค่าของหุ้นของบริษัทและบริษัทอื่นๆ ของไทยที่ต่ำมาก และต่ำที่สุดในภูมิภาค ทำให้กองทุนแต่ละแห่งสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากปัจจัยเรื่องนโยบายภาษีสหรัฐฯ มีความแน่นอนมากขึ้น ทำให้กองทุนต่างๆ อาจจะทบทวนการลงทุนและมีความสนใจมากขึ้น
รายได้และกำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ยังหดตัว
วันนี้ (4 สิงหาคม) TU รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรกของปีนี้ โดยมีรายได้รวม 6.31 หมื่นล้านบาท หดตัว 7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.29 พันล้านบาท หดตัว 3.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
TU ชี้แจงว่า ยอดขายลดลง 7.8% และกำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อย 0.8% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 19.3% อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 32.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจาก Avanti Group ต้นทุนทางการเงินลดลง 7.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน