บ้านปู เพาเวอร์ พร้อมขยายการลงทุนในสหรัฐฯ หนุนไทยปิดดีลภาษีทรัมป์อย่างเป็นทางการ
บ้านปู เพาเวอร์พร้อมสนับสนุนรัฐบาล หากสหรัฐฯ ยื่นข้อเสนอให้ไทยเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการบรรลุข้อตกลงด้านภาษีระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ
พัฒนาศักดิ์ นักสอน Vice President – Strategic Planning and Business Support ผู้ดูแลการพัฒนาธุรกิจในสหรัฐฯ ของ บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า บริษัทพร้อมร่วมมือกับภาครัฐในการขยายการลงทุนในสหรัฐฯ หากมีข้อเสนอที่ผลักดันให้ไทยต้องมีบทบาททางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในประเทศดังกล่าว แต่ในขณะนี้ยังไม่มีการติดต่อหรือหารือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้น
โดยเขาให้ความเห็นว่า สหรัฐฯ เป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่ง BPP ได้วางแผนรองรับการขยายธุรกิจระยะยาวไว้แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายอย่างชัดเจน
พัฒนาศักดิ์ระบุว่า โครงการถัดไปของ BPP ในสหรัฐฯ จะเน้นการขยายธุรกิจด้านระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Utility-scale Battery Energy Storage System: BESS) เพื่อรองรับพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน โดยใช้รูปแบบเดียวกับที่บริษัทเริ่มดำเนินงานแล้วในออสเตรเลียและญี่ปุ่น
เขาชี้ว่า แม้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ มีแนวโน้มความต้องการเพิ่มสูงขึ้นจากเป้าหมาย Net Zero และความพยายามลดการปล่อยคาร์บอน แต่เทคโนโลยีการผลิตพลังงานสะอาดในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดด้านเสถียรภาพ จึงจำเป็นต้องมีระบบแบตเตอรี่เพื่อรองรับการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน บ้านปูมีแหล่งก๊าซธรรมชาติ 2 แห่งในสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารงานของ BKV Corporation บริษัทย่อยของบ้านปู ได้แก่ แหล่งก๊าซบาร์เนตต์ (Barnett) ในรัฐเท็กซัส และแหล่งก๊าซมาร์เซลลัส (Marcellus) ในรัฐเพนซิลเวเนีย
ทั้งสองแหล่งมีกำลังการผลิตรวมกันสูงถึง 860 ล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่าต่อวัน ส่งผลให้ BKV ติดอันดับหนึ่งใน 20 ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ บ้านปู เพาเวอร์ยังมีโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 2 แห่งในรัฐเท็กซัส ได้แก่ Temple I และ Temple II ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT (Electric Reliability Council of Texas) โดยมีกำลังการผลิตรวมกัน 1,499 เมกะวัตต์
พัฒนาศักดิ์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ขณะนี้รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังปรับปรุงกระบวนการด้านกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อเร่งการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ Small Modular Reactor (SMR)
เขาเชื่อว่า ‘ภาพของพลังงานหมุนเวียนยุคใหม่’ กำลังจะเริ่มเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้ โดยคาดว่าจะได้เห็นการพัฒนา SMR อย่างชัดเจนมากขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2030