พาณิชย์ดันกาแฟไทยไปไกลกว่าเดิม คัด 10 แบรนด์ไทยบุกตลาดจีนในงาน CAFEEX 2025
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดตัวโครงการ “ส่งเสริมกาแฟไทยอย่างยั่งยืนด้วย FTA” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการ เจาะตลาดจีนโดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียน-จีน และ RCEP ผ่านกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ เข้าร่วมงานแสดงสินค้ากาแฟ CAFEEX 2025 และสำรวจช่องทางตลาดโมเดิร์นเทรด ณ เมืองกว่างโจวและเมืองเซินเจิ้น ในเดือนสิงหาคม 2568
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกโครงการ “ส่งเสริมกาแฟ.ไทยอย่างยั่งยืนด้วย FTA” ณ ห้องประชุมมโนปกรณ์นิติธาดา กระทรวงพาณิชย์ โดยมี นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ร่วมในพิธี
นายฉันทวิชญ์ กล่าวว่า โครงการนี้เป็น โครงการนำร่องที่สำคัญ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการกาแฟให้ใช้ FTA อย่างเต็มที่ ซึ่งFTA เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจกาแฟของไทยบุกตลาดโลกได้ง่ายขึ้น เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าของประเทศคู่ค้าในความตกลงส่วนใหญ่ลดลงหรือเป็นศูนย์ และยังได้รับการอำนวยความสะดวกทางการค้าเพิ่มเติม
ทั้งนี้ โครงการมุ่งเน้นการนำเมล็ดกาแฟไทยทั้งพันธุ์อาราบิก้าและโรบัสต้าจากทุกภูมิภาคมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ผ่านการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น เมล็ดกาแฟคั่ว กาแฟคั่วบด กาแฟแคปซูล กาแฟดริป กาแฟถุงชง กาแฟสปาร์คกิ้ง กาแฟสำเร็จรูป และลูกอมกาแฟ “ผมมั่นใจทุกผลิตภัณฑ์ว่ากาแฟไทยมีคุณภาพสูง สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศได้” รัฐมนตรีช่วยฯ กล่าว
ครั้งนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ 84 ราย ผ่านการคัดเลือกรอบแรก 20 ราย เข้าร่วม Boot Camp ติวเข้มความรู้ด้าน FTA การค้าระหว่างประเทศ กฎระเบียบการส่งออก กลยุทธ์การตลาดด้วย AI การใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ และการบริหารความเสี่ยง พร้อมจัด Workshop เพื่อสร้างคลัสเตอร์ผู้ประกอบการ ก่อน Pitching คัดเลือก 10 รายสุดท้าย ที่จะเดินทางไปจีนเพื่อสำรวจตลาด จับคู่ธุรกิจกับคู่ค้าจีน และเข้าร่วมงาน CAFEEX 2025 (Café Expo China) ณ เมืองกว่างโจวและเมืองเซินเจิ้น ในเดือนสิงหาคม 2568
นายฉันทวิชญ์ ย้ำว่า SMEs เป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันมีมากกว่า 3.1 ล้านราย และสร้างการจ้างงานกว่า 10 ล้านคน การเสริมศักยภาพ SMEs ด้วย FTA และเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน พร้อมระบุว่า กาแฟเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงเป็นอันดับสองของโลกรองจากน้ำมันดิบ ตลาดกาแฟโลกมีมูลค่า 433,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี
สำหรับประเทศไทย ตลาดกาแฟมีมูลค่าราว 100,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 9 ต่อปี โดยมีการบริโภคเฉลี่ย 340 แก้วต่อคนต่อปี หรือวันละ 1 แก้ว และแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “เราต้องทำให้กาแฟมีคุณภาพ มีอัตลักษณ์ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเจาะตลาดพรีเมียมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีนที่คนรุ่นใหม่ให้ความนิยมสูง”
โครงการนี้ยังสนับสนุนการขึ้นทะเบียนสินค้า GI และการผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดพรีเมียม โดยจีนถือเป็นตลาดสำคัญที่ไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA อาเซียน-จีน และ RCEP ซึ่งลดภาษีนำเข้าเมล็ดกาแฟคั่วเหลือร้อยละ 0-5 และผลิตภัณฑ์กาแฟเหลือร้อยละ 0
ปัจจุบัน ไทยส่งออกกาแฟคั่วไปจีนเป็นอันดับ 2 มูลค่า 0.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งออกกาแฟสำเร็จรูปเป็นอันดับ 7 มูลค่า 3.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามความนิยมกาแฟของผู้บริโภคจีนที่เพิ่มขึ้นกว่า ร้อยละ 8.55 ต่อปี
“ผมเชื่อมั่นว่า โครงการส่งเสริมกาแฟไทยอย่างยั่งยืนด้วย FTA จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่การเป็นผู้ส่งออกแบรนด์กาแฟของไทยที่แข็งแกร่ง เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลก และยกระดับกาแฟของไทยสู่ตลาดพรีเมียมทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดจีน กระทรวงพาณิชย์จะอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการไทยและสนับสนุนการเข้าถึงช่องทางการตลาดต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง” นายฉันทวิชญ์ กล่าว