ดีลยักษ์! มิตซูบิชิทุ่มเงินเกินครึ่งแสนล. ซื้อ ทียู ผงาดถือหุ้น 20%
ดีลยักษ์! มิตซูบิชิทุ่มเงินซื้อ ทียู เกินครึ่งแสนล้านบาท ผงาดถือหุ้น 20% - ไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 1,506 ล้าน เพิ่มขึ้น 13.2 % ปันผล 0.35 บาทต่อหุ้น
วันที่ 4 ส.ค. 2568 บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ทียู แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า ได้รับหนังสือจาก มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น บริษัทการค้าและการลงทุนชั้นนำระดับโลก ยื่นข้อเสนอซื้อหุ้นของ ทียู เพิ่มเติม โดยการรับซื้อหุ้นเป็นการทั่วไป เพิ่มเพิ่มจำนวน 532,273,639 หุ้น หรือคิดเป็น 13.81% ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯโดยเสนอราคาซื้อที่ 12.50 บาทต่อหุ้น
จาก ณ วันที่ 31 ก.ค. 2568 ผู้ยื่นข้อเสนอฯ ถือหุ้นใน ทียู อยู่แล้วจำนวน 238,745,120 หุ้น หรือคิดเป็น 6.19% หากการรับซื้อครั้งสำเร็จจะทำให้ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น กลายเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนรวมทั้งสิ้น 20.00% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ ทียู
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปี 2568 TU มียอดขายรวม 33,389 ล้านบาท กำไรสุทธิปรับปรุงอยู่ที่ 1,506 ล้านบาท (ไม่รวม transformation costs) เพิ่มขึ้น 13.2 % จากปีก่อน สะท้อนความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจและการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงเป็นประวัติการณ์ และการบริหารต้นทุนอย่างมีวินัย ดันกำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโต 18 %
โดยบริษัทฯ ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตรา 0.35 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 59%นอกจากนี้ TU ยังประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ บริษัท มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ตอกย้ำทิศทางการดำเนินกลยุทธ์ในระยะยาว ในฐานะผู้นำโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อ สุขภาพจากท้องทะเล
ทั้งนี้ การที่บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7% ในไตรมาส 2 นั้นได้ปัจจัยสนับสนุนจากการบริหารพอร์ตผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ในขณะที่กำไร สุทธิตามที่ประกาศอยู่ที่ 1,273 ล้านบาท
สำหรับครึ่งแรกของปี 2568 กำไรสุทธิตามที่ปรับปรุงเพิ่มขึ้น 11.2 % อยู่ที่ 2,823 ล้านบาท และกำไรสุทธิตามที่ประกาศอยู่ที่ 2,292 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งปีแรกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.3 %
“ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์มเมชั่นของเรากำลังแสดงผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เราได้ปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การมุ่งเน้นเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจหลักของเรา ช่วยสร้างการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นได้อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตที่คาดเดาได้ยาก”
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปีนี้ พบว่ายอดขายขยายตัวลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน 4.7 % และการชะลอตัวของยอดขายผลิตภัณฑ์แช่แข็งในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ยอดขายในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง นั้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดย กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มียอดขายรวม 16,597 ล้านบาท และปริมาณการขายยังคงทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น 22 % จากราคาวัตถุดิบปลาที่ลดลง และความสำเร็จจากแคมเปญส่งเสริมการตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายรวม 10,034 ล้านบาท สืบเนื่องจากความต้องการกุ้งในตลาดสหรัฐฯ ที่ลดลง
อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่น่าพอใจที่ 11.7 % ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายรวม 4,387 ล้านบาท โดยปริมาณการขายเติบโต 10 % เมื่อเทียบกับปีก่อน จากความต้องการของลูกค้ารายสำคัญในสหรัฐฯ อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดีที่ 25.6 %
และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายรวม 2,371 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นยังคงความแข็งแกร่งที่ 26.3 %เ จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ที่มาจากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบเหลือใช้จากการผลิต
ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ ยังได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นครั้งที่ 4 เสร็จสมบูรณ์ โดยซื้อคืนหุ้นคิดเป็น 8.98 %ของทุนชำระแล้ว สะท้อนเจตนารมณ์ของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
นอกจากนี้ สองผู้นำอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก TU และ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้มีการเข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ซึ่งเป็นการต่อยอดความร่วมมือที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2534 เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ความยั่งยืน และความเป็นเลิศในระดับโลก ภายใต้สัญญาความร่วมมือดังกล่าว มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TU จาก 6.19 เปอร์เซ็นต์ เป็น 20 % (ไม่นับรวมหุ้นซื้อคืน) ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั่วไป
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างไทยยูเนี่ยนและมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ตั้งอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจที่สั่งสมมายาวนานหลายทศวรรษ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจและวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท ในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก เราจะร่วมกันเร่งสร้างการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และตอกย้ำสถานะของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมอาหารทะเล”
ทั้งนี้ การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน โดย มิตซูบิชิยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่สี่ มีตัวแทนนั่งในคณะกรรมการบริษัทตามเดิม และไม่มีผลต่อโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงของไทยยูเนี่ยน
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ดีลยักษ์! มิตซูบิชิทุ่มเงินเกินครึ่งแสนล. ซื้อ ทียู ผงาดถือหุ้น 20%
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th