ไม่รอวิกฤต! เอสซีจี ดันกรีนโซลูชันส์ฝ่าคลื่นเศรษฐกิจโลก
เอสซีจี ประกาศความคืบหน้าในการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการเดินหน้าใช้พลังงานสะอาดและพัฒนาเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างธุรกิจและวางยุทธศาสตร์ขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน เพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน
‘ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม’กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า แนวทางการลดต้นทุนและการขับเคลื่อนนวัตกรรมพลังงานสะอาดส่งผลให้บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในครึ่งแรกของปี 2568 เอสซีจีมี EBITDA อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากครึ่งหลังของปี 2567 และสามารถลดหนี้สินสุทธิลงได้ 8,365 ล้านบาท ขณะที่มีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 45,542 ล้านบาท
เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เอสซีจีได้นำพลังงานสะอาดมาใช้ในสายการผลิต โดยเฉพาะในธุรกิจซีเมนต์และกรีนโซลูชันส์ ซึ่งสามารถประหยัดต้นทุนได้กว่า 1.1 พันล้านบาท จากการใช้พลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ธุรกิจอื่นๆ ทั้ง เอสซีจี เดคคอร์ และ สมาร์ทลีฟวิ่ง ก็ได้เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดและระบบอัตโนมัติเพื่อเสริมประสิทธิภาพ ลดของเสีย และลดต้นทุนการผลิตอย่างยั่งยืนเช่นกัน
ขณะเดียวกัน เอสซีจียังเตรียมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ในเวียดนามช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ พร้อมเร่งพัฒนาโครงการวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว นอกจากนี้ยังได้ขยายฐานการผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ ซึ่งสามารถผลิตได้สูงสุดถึง 8,000 ตันต่อวัน เพื่อรองรับความต้องการของตลาดในประเทศและส่งออกไปยังสหรัฐฯ แคนาดา และออสเตรเลีย
ด้านผลิตภัณฑ์สีเขียว เอสซีจีได้เปิดตัวสินค้าใหม่หลายรายการ เช่น ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR ซึ่งเป็นรายแรกในไทย รวมถึงกระเบื้องซีเมนต์ DECAAR รุ่นคอมฟอร์ท ที่ช่วยสะท้อนและคายความร้อนได้ดี และฟิล์มติดอาคาร Raycoool ที่ใช้เทคโนโลยี Radiative Cooling ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานในอาคาร นอกจากนี้ยังเตรียมออกสู่ตลาด ‘ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3’ ซึ่งอยู่ระหว่างการทดลองในโครงการต่างๆ กว่า 15 แห่ง
นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะและ AI เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง อาทิ การใช้หุ่นยนต์ในกระบวนการบรรจุสินค้า ระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ รวมถึงการนำ AI มาใช้ในการออกแบบสินค้าและจำลองกระบวนการผลิตล่วงหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มซีเมนต์ สมาร์ทลีฟวิ่ง และเคมิคอลส์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังจะยังคงเผชิญความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เช่น ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของราคาพลังงาน แต่เอสซีจียังคงเดินหน้าเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ควบคู่ไปกับการขยายตลาดในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น แอฟริกา เอเชีย และยุโรป โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและความยั่งยืนเป็นสำคัญ
พร้อมกันนี้ เอสซีจียังจับมือกับภาคีเครือข่ายในโครงการ ‘NZAP: Net Zero Accelerator Program’ และ ‘Go Together’ เพื่อเร่งสร้างระบบนิเวศธุรกิจที่ยั่งยืน และเตรียมจัดงาน ‘ESG Symposium’ ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2568 โดยเชิญองค์กรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เช่น สำนักงานประสานงานการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (DCO), สถาบัน MIT, ธนาคารแห่งประเทศไทย, TDRI และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย มาร่วมกันหาแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่เป้าหมาย Green Transition อย่างเป็นรูปธรรม
“แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะยังคงไม่แน่นอน เอสซีจีเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ชัดเจน การปรับตัวที่รวดเร็ว และความร่วมมือกับพันธมิตรในทุกภาคส่วน คือหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน” ธรรมศักดิ์ย้ำทิ้งท้าย