โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ภาษีทรัมป์ 36% หายนะ ‘ศก.ไทย‘ 3 แบงก์ห่วง เกมการค้าสหรัฐ กระทบ 1.2 ล้านล้าน

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 17 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ไทยกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากการเจรจาภาษีตอบโต้ของสหรัฐก่อนถึงเส้นตายอีก 2 สัปดาห์ ท่ามกลางความเสี่ยงสูงหากไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงกว่าหลายประเทศคู่ค้าคู่แข็ง เพราะไม่เพียงแต่กระทบต่อภาคการส่งออก แต่อาจสร้างแรงกระเพื่อมและกระทบเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ttb กล่าวว่า อัตราภาษี 36% จะเป็นความหายนะของเศรษฐกิจไทยจากกรณีที่ประเทศอื่นชิงสารภาพ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับสหรัฐเพื่อต้องการลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐให้ลดลง แต่ขณะที่ไทยถูกอัตราภาษี 36% เป็นระดับที่เป็นความหายนะของไทย ดังนี้

1.ผลกระทบสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐที่มีมูลค่าสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับและยาง โดยถ้าถูกตั้งภาษี 36% สูงกว่าเวียดนาม 20% และอินโดนีเซีย 19%

ไทยจะสูญเสียความสามารถการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากหลายประเทศ เช่น โทรศัพท์, คอมพิวเตอร์, ชิ้นส่วนรถยนต์

2.ผลกระทบต่อซัพพลายเชนในประเทศ ซึ่งมีซัพพลายเชนในประเทศซับซ้อน เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรงงานและผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ โดยจะสูญเสียรายได้ในอุตสาหกรรม 497,000 ล้านบาท จากผลกระทบทางอ้อมในซัพพลายเชน

3.ผลกระทบแรงงานและการบริโภคในประเทศ โดยจะกระทบแรงงาน 1 ล้านคน ภายในปี 2028 ส่วนใหญ่อยู่ภาคการผลิต เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และยาง ส่วนการบริโภคในประเทศลดลงจากการว่างงานและรายได้ลดลงกระทบเศรษฐกิจมหภาควงกว้าง

รวมทั้งกระทบระยะกลางและระยะยาวเพราะไทยไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองต้องอาศัยการลงทุนจากต่างประเทศขับเคลื่อน (FDI)

ดังนั้นถ้าภาษีที่สหรัฐคิดจากไทยสูงกว่าคู่แข่งจะทำให้เราสูญเสียหลายด้าน
ด้านที่ 1. สูญเสียความสามารถการแข่งขันระยะยาว หากไทยถูกตั้งภาษี 36% ขณะที่เวียดนามหรืออินโดนีเซียได้อัตราดีกว่า ซึ่งไทยจะตกอันดับในห่วงโซ่การผลิตโลก และอาจถูกมองเป็น “ประเทศที่เสี่ยง” สำหรับการลงทุน
ด้านที่ 2. การดึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง โดยไทยเสียเปรียบมากขึ้นในการดึง FDI เมื่อเทียบเวียดนามที่มี FDI เพิ่มสูงกว่าไทยถึง 15 เท่า ตั้งแต่ปี 2015 ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และอาหารแปรรูป ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของไทยอาจย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่ได้สิทธิภาษีที่ดีกว่าจากสหรัฐ

  • เว้นภาษีสหรัฐเหลือ0%กระทบไทยน้อย

นอกจากนี้ ไทยควรสารภาพตามประเทศอื่นเพราะผลกระทบจากการ “ลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ” จริง ๆ แล้วน้อย และอาจเป็นผลดีด้วยซ้ำ
ขณะที่มองว่าผลกระทบทางลบมีจำกัด หากไทยยกเว้นภาษีนำเข้าสหรัฐทั้งหมดจะสูญเสียรายได้จากภาษีเพียงปีละ 35,900 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 0.2% ของรายได้ภาครัฐ

โดยสินค้านำเข้าจากสหรัฐส่วนใหญ่มีภาษีนำเข้าต่ำและปริมาณไม่สูง โดยผลบวกที่อาจเกิดขึ้น คือ

1.ลดต้นทุนอาหารสัตว์ เพิ่มความสามารถแข่งขันอาหารแปรรูป เช่น ข้าวโพดจากสหรัฐถูกกว่าเมียนมาและลาว 14% การนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐลดต้นทุนอาหารสัตว์ 60,000 ล้านบาท ส่งผลให้สินค้าแปรรูปไทย เช่น ไก่ หมู อาหารสัตว์เลี้ยง แข่งขันดีขึ้นในตลาดโลก และลดแรงจูงใจปลูกข้าวโพดบนพื้นที่สูง ลดปัญหา PM2.5 จากการเผาในภาคเหนือและจากประเทศเพื่อนบ้าน

2.นำเข้ายาและเวชภัณฑ์ราคาถูกลง สินค้ากลุ่มยา เครื่องมือแพทย์จากสหรัฐมีราคาถูกลง อาจส่งผลดีต่อสวัสดิการรัฐและการรักษาโรค ทั้งนี้มองว่า ไม่กระทบผู้ผลิตในประเทศ เพราะยังผลิตสินค้าคนละกลุ่ม (low-end vs high-end)

การให้ภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ 0% และยกเลิกโควตานำเข้าย่อมมีผู้เสียผลประโยชน์ แต่โดยรวมช่วยป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยดิ่งกว่านี้ และจะส่งผลบวกระยะยาว เพราะหากไทยโดนสหรัฐตั้งภาษี 36% จะกระทบไทยรุนแรงแบบลูกโซ่ทั้งอุตสาหกรรม แรงงานและการลงทุน คิดเป็นมูลค่า 1.23 ล้านล้านบาท

ในขณะที่การลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สร้างผลกระทบต่อรายได้รัฐเพียงเล็กน้อย แต่ได้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและสังคมกลับมามากกว่า

  • หวังภาษีต่างจากคู่แข่งไม่เกิน10%

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำหรับภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งไทยมีสัดส่วนส่งออกไปสหรัฐราว 20% ปีละ2ล้านล้านบาท ถือเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง หากโดนภาษีอัตราที่สูงจะมีผลกระทบที่ค่อนข้างมาก
ส่วนตัว มีมุมมองขอให้การเจรจานั้นออกมาไม่ได้ต่างกันมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอาเซียน ซึ่งไม่ควรเกิน 10%หากทำได้ก็จะช่วยประคองสถานการณ์การส่งออกของไทยสู้กับคู่แข่งในอาเซียนได้ระดับหนึ่ง

หากทำไม่ได้ แตกต่างกันเกิน 10% มองว่า ประเทศไทยจะมีความเสี่ยงมาก เพราะตอนนี้เวียดนามชนะไทย แต่ต้องรอความชักเจน ขอเจรจาให้สู้กับมาเลเซียและอินโดนีเซียให้ได้ โดยอัตราภาษีโดยเทียบเคียงต้องแตกต่างกันไม่เกิน10%
ในแง่ของตัวเลขภาษีที่ได้ไม่ได้สำคัญมากเท่ากับการเทียบเคียง อย่างเวียดนามกับไทยมีการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ ส่วนกับมาเลเซียและอินโดนีเซีย ก็มีการแข่งขันกับไทยในอุตสาหกรรมอื่น ดังนั้นขอภาษีแตกต่างกันไม่เกิน10% ไม่เช่นนั้นเราจะเหนื่อย อาจย้ายฐานการผลิตออกจากไทย"
นายกฤษณ์ กล่าวว่า ภาษีทรัมป์กระทบอุตสาหกรรมใหญ่ รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหารและคอมมูนิตี้บางอย่าง ดังนั้น ทางด้านผลกระทบต่อลูกค้าของเอสซีบี และพบว่า มีจำนวนและมีสัดส่วนไม่มาก กลุ่มหลัก คือ ผู้ผลิตอาหารส่งออกไปสหรัฐ เอสซีบีได้มีการช่วยเหลือและดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ผ่านวิกฤตินี้ให้ได้ ถ้าลูกค้าไม่รอด เราไม่รอดเหมือนกัน ฉะนั้นเราต้องดูแลไปด้วยกันและไปให้ไกล
“มาตรการที่เราเข้าไปช่วยเหลือนั้นเป็นแบบเฉพาะ เจาะจง ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแบบปูพรมได้ เพราะแต่ละคนมีความเข้มแข็งแตกต่างกัน”
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยทั้งปีนี้ คาดเติบโตไม่เกิน1.5% ครึ่งปีหลังยังมีความเสี่ยงเติบโตเพียงแค่1% หลายฝ่ายยังกังวลจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคหรือไม่

  • เส้นตายไทยเหลือเพียง2สัปดาห์

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ทางออกไทยจากนี้มีเวลาเหลือแค่ 2 สัปดาห์ ที่จะต่อรองสหรัฐ

โดยการหาทางออกต้องเริ่มจาก “โจทย์” ที่ต้องหาให้เจอเพื่อนำไปสู่คำตอบ ซึ่งโจทย์ไทยอยู่ที่ความเสียหายรออยู่ข้างหน้า ดังนั้น ไทยจะเสียหายน้อยที่สุดได้อย่างไร เพราะไม่ว่าเลือกทางไหนจะเจอความเสียหายรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ดังนี้
1.ความเสียหายต่อภาคส่งออก 2.ความเสียหายต่อภาคเศรษฐกิจที่เราเคยปกป้องเอาไว้ 3.ความเสียหายต่ออนาคตของเศรษฐกิจไทย
สำหรับความเสียหายด้านที่ 3 อาจยังไม่ชัดเวลานี้ แต่ต่อไปทุกคนจะเห็นความเสียหายชัดขึ้น โดยเฉพาะปัจจุบันไทยรั้งท้ายในกลุ่มประเทศหลักอาเซียน ขณะที่สิงคโปร์ถูกตั้งภาษี 10% อินโดนีเซีย 19% เวียดนาม 20% ฟิลิปปินส์ 20% มาเลเซีย 25% (กำลังเจรจาเพิ่ม) ส่วนคู่แข่งสำคัญ เช่น อินเดียใกล้เจรจาสำเร็จน่าจะลดลงจาก 26% ซึ่งเป็นอัตรา ณ วันที่ 2 เม.ย.2568 ทำให้ไทยมีทางเลือกไม่มาก

  • หากจบที่36%การเยียวยา2แสนล้านไม่พอ

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าไทยละล้าละลังคงจบที่36% ความเสียหายกรณีนี้อยู่กับภาคส่งออกที่มีสัดส่วน 60% ของ GDP ซึ่งภาคส่งออกใหญ่มากทำให้การเยียวยาภาคการส่งออกทั้งหมดทำได้ยาก ดังนั้นซอฟต์โลน 200,000 ล้านบาท อาจไม่พอ

ทั้งนี้ รัฐบาลอาจต้องใช้งบประมาณเยียวยาเพิ่มมากขึ้น หลังจากลูกค้าไทยเปลี่ยนซัพพลายเออร์ประเทศคู่แข่ง และอัตราภาษี 36% จะสร้างความเสียหายต่ออนาคตไทยหนัก ซึ่งไทยกำลังต่อสู้อย่างเข้มข้นในเกมของการแย่งบริษัทยุคใหม่จากต่างประเทศเพื่อให้มาตั้งบริษัทในไทย เพื่อเปลี่ยนฐานการผลิตสู่โลกยุคใหม่
นอกจากนี้ ไทยเสียเปรียบเวียดนามและอินโดนีเซียอยู่แล้ว เพราะเมื่อนักลงทุนพิจารณาเลือกทำเลที่ตั้งจะบอกว่ากำลังดูเวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยมีไทยเป็นอันดับที่ 3 แต่อัตราภาษีของไทย 36% เทียบกับคู่แข่ง 19-20% บริษัทต่างชาติคงเลือกเวียดนามกับอินโดนีเซีย ส่วนประเทศที่ 3 เป็นมาเลเซีย

  • ห่วงประเทศไทยถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

รวมทั้งผลกระทบที่ตามมา คือ ไทยเริ่มออกจากเรดาร์และถูกทุกคนทิ้งไว้ข้างหลัง โดยไม่มีฐานการผลิตที่ดีให้รัฐเก็บรายได้ และไม่มีอนาคตที่สดใส ซึ่งเมื่อรวมความเสียหายจะมากเกินกว่าที่ไทยจะรับได้ ดังนั้น ไทยต้องดิ้นรนไม่ตกอยู่ในทางเลือกนี้

รวมถึงทางรอดเดียวของไทยต้องเจรจาให้สำเร็จ โดยคู่แข่งเจรจาสำเร็จแล้วทำให้ไทยถูกกดดัน โดยถ้าเจรจาแบบละล้าละลังยังมีอีก 2 ทาง

ซึ่งทางสายที่ 2 เสนอลดภาษีนำเข้า 0% แบบเวียดนามและอินโดนีเซีย และ Total Access และ Non Tariff Barrier Free ซึ่งจะมีนัยกับทุกภาคส่วน
ส่วนทางเลือกที่ 3 ทางสายกลาง เจรจาแต่ไม่ให้หมดเริ่มจากสูตรสำเร็จของเวียดนามและอินโดนีเซียที่เสนอ 0% และ Total Access แล้วดูข้อเสนอไทยที่ให้ไม่ได้และนำออกจากโต๊ะเจรจา ซึ่งต้องรับสภาพอัตราภาษีสูงกว่าเวียดนามและอินโดนีเซียเล็กน้อย
“ตัวเลขที่ไทยต้องพยายามให้ได้คือ 25% เพราะหากอัตรา Tariffs ลดลงมาเพียงเล็กน้อยที่ 30% ยังมีส่วนต่างคู่แข่ง 10-11% คงยากที่จะแข่งขันได้ ทั้งส่งออกและดึงดูดการลงทุน แต่ถ้าจบที่ 25% จะเหลือส่วนต่าง 5%-6% ให้เอกชนปรับตัว ภาคส่งออกยังไปได้และเยียวยาภาคส่งออกน้อยลงมาก”
ส่วนการดึงเอฟดีไอยังไปได้และบริษัทต่างชาติยังไม่มองข้ามไทย โดยมีรัฐช่วยลดค่าใช้จ่ายทดแทนส่วนต่าง 5-6% ครอบคลุมพลังงาน กฎระเบียบและค่าธรรมเนียมอื่น ซึ่งยังมีความเสียหายแต่บริหารจัดการได้

ขณะที่ความเสียหายภาคส่งออกและอนาคตระยะยาวของไทยมีบ้างแต่ไม่มากเกินไป ทั้งสองจะยังเป็นฐาน ให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ และนำรายได้มาเยียวยาภาคเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดให้สินค้าสหรัฐเข้ามาแข่งขันครั้งนี้

ส่วนเงินเยียวยาที่เตรียมไว้ 2 แสนล้านบาทน่าจะเพียงพอ และเมื่อกระบวนการปรับเปลี่ยนได้ดำเนินไป ความต้องการเยียวยาก็จะค่อยๆ ลดลง ทางสายกลางนี้ น่าจะเป็น ทางเลือกที่เราเสียหายน้อยที่สุดในระยะยาว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

ศาลเริ่มไต่สวน 'แพทย์ใหญ่' คดี'ทักษิณ'พักชั้น 14 'ทนาย' เชื่อใช้เวลาซักนาน

32 นาทีที่แล้ว

หุ้นไทยเช้านี้ทะลุ 1,200 จุด โฟลว์ไหลเข้าต่อเนื่อง เก็งภาษีไทย-สหรัฐลด 18%

35 นาทีที่แล้ว

ทีมไทยแลนด์ หารือ ‘USTR’ รอบสอง เชื่อข้อเสนอใหม่ โดนใจสหรัฐ

38 นาทีที่แล้ว

รมช.กห. ลั่น ไม่นิ่งแน่ หากกัมพูชา ละเมิดสัญญาออตตาวา วางระเบิดสังหารบุคคล

41 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความหุ้น การลงทุนอื่น ๆ

DELTA เนื้อหอม ลุ้นนิวไฮ

หุ้นวิชั่น

ทิพยประกันภัยคว้ารางวัล “บริษัทประกันวินาศภัยบริการยอดเยี่ยม” ปี 2025

Share2Trade

ก.ล.ต. ปรับปรุงเกณฑ์จัดส่งงบการเงินของผู้จัดการกองทรัสต์ฯ

หุ้นวิชั่น

COM7 จับตา iPhone17 ใกล้คลอด ลุ้นชดเชยช่วงศก.อ่อนแอ

หุ้นวิชั่น

แสนสิริ เผยความสำเร็จพอร์ตแนวราบ Sold Out! 12 โครงการ รวมมูลค่าทะลุ 17,000 ลบ. จ่อปิดอีก 4 โครงการปีนี้

Share2Trade

ตั้งธนสิน กรุ๊ป ยกระดับธุรกิจโรงรับจำนำ"อีซี่มันนี่"-ทองคำ “พรีเมี่ยมโกลด์ เยาวราช” ด้วยระบบ Oracle ERP

Share2Trade

CKPower คว้ารางวัล Asia’s Best Companies 2025 จากนิตยสาร FinanceAsia

Share2Trade

สนค. ลุยศึกษาแนวทาง ปรับโครงสร้างการส่งออกไทย

หุ้นวิชั่น

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...