เม่าแบกแล้ว 1.07 แสนล.
นับจากต้นปี 2568 มาจนถึงวานนี้ (7 ก.ค.)
นักลงทุนในประเทศหรือ “รายย่อย” ที่ถูกขนานนามว่า “แมงเม่า” ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 1.07 แสนล้านบาท
สวนทางกับนักลงทุนสถาบัน โบรกเกอร์ และต่างชาติที่ขายสุทธิออกมา
เม่าซื้อฝ่ายเดียวแบบนี้จะเรียกว่า (ถูก) 3 รุมหนึ่งก็ว่าได้
นักลงทุนสถาบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนต่าง ๆ ที่ภาครัฐเองจะพยายามฝากผีฝากไข้ ช่วยประคองดัชนีหุ้นไทย จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิถึง 1.2 หมื่นล้านบาท
เช่นเดียวกับพอร์ตโบรกเกอร์ที่ขายประมาณ 1.2 แสนล้านบาท เช่นเดียวกัน
ส่วนต่างชาติที่ยัง “ขายแล้ว ขายอยู่ และขายต่อ”
ล่าสุดตัวเลขจากต้นปีนี้ถึงปัจจุบันขายสุทธิอยู่ประมาณ 8.3 หมื่นล้านบาท
ในปี 2567 ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 1.47 แสนล้านบาท
ดังนั้น ยอดขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 จะเท่า ๆ กับประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายของนักลงทุนต่างชาติในปี 2567
อาจจะมีคำถามว่า ต่างชาติยังมีหุ้นให้เหลือขายอีกเยอะไหม
คำตอบคือ หากอ้างอิงจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวกับสัดส่วนการลงทุนของต่างชาติในตลาดหุ้นไทย
จะพบว่า ณ สิ้นปี 2567 นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 868 บริษัท มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 5.83 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 33.82% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด
ตัวเลขลงทุนของต่างชาติที่ว่านี้นั้น จะเป็นยอดลงทุนทั้งระยะยาว (บริษัทต่างชาติเข้ามาถือหุ้นหรือลงทุนโดยตรง)
และระยะสั้น ที่เป็นการลงทุนของกองทุนต่างชาติ ที่จะซื้อ ๆ ขาย ๆ
ประเด็นที่น่าสนใจของรายย่อยที่แบกหุ้นไทยจากต้นปีแล้วกว่า 1.07 แสนล้านบาทนั้น
เมื่อดูดัชนีต้นปีอยู่ที่ 1,400 จุด ส่วนล่าสุด 1,112 จุด หรือช่วง 6 เดือนแรก ดัชนีปรับลงมา 20-21% จึงมีความเป็นไปได้สูงที่นักลงทุนรายย่อยจะติดหุ้นกันอยู่ค่อนข้างมากตั้งแต่ระดับ 1,400 จุด ลงมา
ขณะที่ล่าสุด สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA)เผยผลการสำรวจความเห็นต่อทิศทางการลงทุนครึ่งหลังของปี 2568
มีความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 22 บริษัท
แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 18 บริษัท และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จำนวน 2 บริษัท และบริษัทโกลด์ฟิวเจอร์ส 2 บริษัท
ทั้งหมดได้ปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยช่วงสิ้นปี 2568 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,231 จุด ลดลงจากเดิมที่คาดไว้เดิม 1,322 จุด
และยังคาดการณ์ค่าเฉลี่ยของดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 1,166 จุด และมองตลอดปีดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,023-1,267 จุด
หากดูจากตัวเลขคาดการณ์ดัชนี
น่าจะมีความเป็นไปได้สูงมากที่ใครเข้าลงทุนในหุ้นตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน น่าจะ “ติดดอย” ข้ามปีกันเลย
เพราะปัจจัยบวกที่จะเข้ามาหนุนตลาดฯ ตอนนี้ยังมองไม่เห็นว่า จะมีปัจจัยไหนเข้ามาดันดัชนีให้วิ่งขึ้นแบบแรลลี่ได้ ตรงข้ามกับปัจจัยลบที่ยังคงอยู่
ทั้งการเมืองภายในประเทศ สงครามการค้า ความขัดแย้งในภูมิภาคต่าง ๆ
สมมุติว่า ในเรื่องภาษีการค้าหากสหรัฐฯ คิดสินค้าที่ส่งจากไทยไปยังสหรัฐฯ กลับไปที่ 36%
มีการดีดลูกคิดคำนวณกันแล้วว่า ดัชนีน่าจะร่วงหลุด 1,100 จุด
และหากหุ้นในกลุ่มธนาคารที่จะรายงานผลประกอบงวดไตรมาส 2/2568 ออกมา แล้วหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล เพิ่มขึ้น เราคงเห็นการเทขายหุ้นกลุ่มแบงก์อย่างหนักแน่
เมื่อถึงเวลานั้น ดัชนีมีโอกาสที่จะหลุดระดับ 1 พันจุดได้ อย่างที่เคยเขียนบอกไป
ช่วงเวลานี้ เราจึงเห็นนักวิเคราะหืแนะนำให้ wait and see กันมากขึ้น
เห็นดัชนีวิ่งขึ้นมานิดหน่อยอย่าไปไล่ล่ะ
ไม่ต้องกลัวตกขบวน
แต่ควรจะกลัวติดดอยมากกว่า
ธนะชัย ณ นคร