MIND: ‘คิดบวก’ อย่างไร ไม่ให้กลายเป็นการ ‘ไม่ยอมเผชิญหน้ากับความจริง’
ในยุคก่อนหน้านี้ การ ‘คิดบวก’ เป็นสิ่งที่สังคมเรียกร้อง และพร้อมใจกันส่งเสริมอะไรที่ ‘ฟีลกู๊ด’
อย่างไรก็ดี ณ ปัจจุบัน แนวทางนี้ไม่ป๊อปอีกต่อไป คำถามคือทำไม?
คำตอบที่ง่ายและรวดเร็วก็คือ โลกทุกวันนี้คนเริ่มเห็นว่าสิ่งต่างๆ มันแย่จนไม่อาจรับไหว เราไม่สามารถจะ ‘คิดบวก’ เพียงเพื่อให้เรื่องร้ายๆ ผ่านไปได้ มากกว่านั้นเรายังต้องเผชิญหน้ากับมันเพื่อจะแก้ปัญหาบางอย่าง
แต่กลับกัน การหยุดคิดบวกเป็นสิ่งที่ดีเสมอไปหรือเปล่า? เราอาจต้องมาคุยกัน
อย่างแรก อะไรคือการคิดบวก? ว่ากันตรงๆ มันคือการตีความสถานการณ์ต่างๆ ที่ประสบในความรู้สึกที่ดี แม้ว่าสถานการณ์เหล่านั้นจะไม่ดี (เพราะถ้าสถานการณ์มันดี แล้วเรามองว่าดี มันก็ไม่ใช่การคิดบวก) ในทางปฏิบัติมันจะเป็นความรู้สึกที่เราบอกกับตัวเองเช่นว่า “ก็ยังดีที่…” “เราโชคดีแล้วที่…” “ยังมีคนอื่นที่แย่กว่าเรา…” “มันอาจเลวร้ายกว่านี้…” ฯลฯ คงพอจะนึกกันออก
คนเราจะคิดแบบนี้ได้ อาจเกิดจากทั้งภูมิหลังครอบครัว วัฒนธรรม และประสบการณ์ส่วนตัว ซึ่งเป็นไปได้หลายแบบ บางคนอยู่ในครอบครัวหรือสังคมที่คิดบวก ก็เป็นตามนั้น แต่ถ้าอยู่ในสังคมและครอบครัวที่สมาชิกคิดลบมากๆ แล้วมีใครสักคนมองว่ามันเป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ คนนั้นก็อาจพลิกมาเป็นคนคิดบวกสุดขั้วเลยก็มี ส่วนประสบการณ์ส่วนตัวเองก็ส่งผลให้คนกลายเป็นคนคิดบวกได้หลากหลาย
แล้วทำไมมันจึงเป็นปัญหา? คำตอบเร็วๆ คือถ้าเราคิดแบบนี้ในสถานการณ์ที่เรา ‘สามารถแก้ไขผลลัพธ์ให้ดีขึ้นได้’ ไปนานๆ บางทีมันจะสะสมเป็นความรู้สึกไม่ดีที่รอวันระเบิดได้
ยกตัวอย่างในเรื่องความสัมพันธ์ เราไม่พอใจบางอย่างที่คู่รักเราทำ ถ้าเราคิดว่า “ก็ยังดีที่เขาไม่เป็นแบบคนโน้น” เราก็จะไม่พูดอะไร แต่นั่นไม่ได้ทำให้ ‘ความไม่พอใจ’ ลึกๆ นั้นหายไป และถ้ามันเกิดซ้ำๆ ก็จะกลายเป็นระเบิดเวลา
แล้วต้องทำอย่างไร? สำหรับคนคิดบวกจัดๆ เขาให้เริ่มจากยอมรับความไม่พอใจของตัวเองก่อน คือต้องยอมรับว่าสิ่งนี้ทำให้ตัวเราไม่พอใจ ยอมรับว่าเรารู้สึกไม่ดี ไม่ใช่ ‘แสดงออกว่าคิดบวก’ ตามความเคยชิน แล้วก็จะเข้าสเต็ป ‘การเรียนรู้ในการจัดการความรู้สึก’ ตามแนวนักจิตวิทยาสมัยนี้ที่เขาแนะนำให้ฝึกแต่เด็ก คือให้เรายอมรับว่าเรา ‘รู้สึก’ อะไรทั้งหมด ก่อนจะจัดการอย่างเหมาะสมกับสังคม ซึ่งต่างจากยุคก่อนที่คนจะสอนว่าความรู้สึกบางอย่างที่ ‘ไม่ดี’ ห้ามแสดงออก
ว่ากันว่าถ้าเรายอมรับความรู้สึกไม่ดีของตัวเองและจัดการมันได้ เราจะโตขึ้นอีกขั้น มันเหมือนเราเรียนรู้การแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเหมาะสมกับสถานะของเราและบริบทสังคม ซึ่งถือว่ามันจะช่วยให้เราไม่มีปัญหาสุขภาพจิตในระยะยาว
อันนี้คือพื้นฐาน เราต้อง ‘ยอมรับความรู้สึก’ ตัวเองให้ได้ก่อน
แต่คำถามต่อมาคือ ถ้าเรายอมรับแล้วว่าเรารู้สึกไม่ดีจริง แต่เราอยู่ในสถานการณ์ที่เราทำอะไรไม่ได้ แล้วจะยังไงต่อ?
ณ ตรงนี้ เราคงต้องเลือกเอง เพราะปัญหาโลกแตกสารพัดในโลกมันก็มีจริง และต่อหน้าสิ่งเหล่านี้เราจะ ‘คิดบวก’ ‘คิดลบ’ หรือ ‘อยู่กับความจริง’ อย่างไรผลลัพธ์มันก็ไม่เปลี่ยน
เราก็คงต้องเลือก ‘ความรู้สึก’ และ ‘การแสดงออก’ ที่มีเสถียรภาพที่สุด ซึ่งก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ตรงไปตรงมา เช่นบางคน เจอปัญหาโลกแตกแบบนี้ แทนที่จะชี้ว่ามันเป็นปัญหานะ ทั้งที่ทุกคนรู้แล้ว ก็อาจทำให้มันเป็นเรื่องตลกไป โดยการให้หัวเราะกันรอบวงกับชะตากรรมของตัวเอง เพราะในบางสถานการณ์ การมองมันด้วยความรู้สึกที่ดีและอารมณ์ขัน มันก็ทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่ประสาทเสียจริงๆ
แต่กลับกัน ถ้ามันเป็นเรื่องที่เราจัดการได้ แต่เรากลับทำให้มันเป็นเรื่องตลกหรือเพียงแค่คิดบวก มันก็น่าจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเช่นกัน เพราะนั่นหมายความว่าเรามีโอกาสแก้ปัญหาที่รากของมันแล้ว แต่เราเลือกที่จะไม่ทำอะไรเอง