ชู “หุ้นเทคฯ จีน” น่าสนใจ ถูกกว่า “หุ้นเทคฯ สหรัฐ” กว่า 44%... พื้นฐานแกร่ง-ไม่แพง-กำไรโตดี พร้อม “Overweight” หุ้นจีน โอกาสลงทุน “ระยะกลาง-ยาว” !!!
Fun of Funds: สำหรับ “ภาษี Trump” ระหว่าง “สหรัฐ” และ “จีน” ได้ข้อสรุปไปเรียบร้อยแล้ว โดยสหรัฐจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจาก 145% เหลือ 30% ขณะที่จีนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ จาก 125% เหลือ 10%
เมื่อความชัดเจนประกฎก็ทำให้ตลาดตอบรับในเชิงบวกเช่นกัน
ปัจจุบัน “ตลาดหุ้นจีน” เองถือเป็นหนึ่งในตลาดที่ “ถูก” ตลาดหนึ่งของโลก และธีมหุ้นจีนที่น่าสนใจและมีความโดดเด่นก็คือ ธีม “หุ้นเทคโนโลยีจีน” นั่นเอง
เพราะโลกเทคโนโลยีในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว ค่อนข้างชัด ระหว่าง “จีน-สหรัฐ” นั่นเอง ซึ่งเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีและมีบริษัทชั้นนำในด้านนี้ไม่น้อยหน้ากันเลยทีเดียว
ในขณะที่ “หุ้นจีน” เองก็ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจในระยะกลาง-ยาว โดยตลาดเองมองว่าน่าจะผ่าน “จุดต่ำสุด” ไปเรียบร้อยแล้วด้วย
ทำไม ทั้ง “หุ้นเทคฯ จีน” และ “หุ้นจีน” จึงน่าสนใจ ตามทีมงาน ‘โต๊ะกองทุน Wealthy Thai’ ไปอัปเดตมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญพร้อมๆ กันได้เลย
“หุ้นเทคฯ จีน” ถูกว่า “หุ้นเทคฯ สหรัฐ” กว่า 44%…ในขณะที่ “พื้นฐานแกร่ง-ไม่แพง-กำไรโตสูงต่อเนื่อง”
โดย “ศิระ คล่องวิชา” ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี บอกว่า “หุ้นเทคโนโลยีจีน” เป็นอีกโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่ง มีสัญญาณการฟื้นตัวจากหุ้นขนาดใหญ่และกำไรของตลาดเทคโนโลยีจีนก็ยังคงอยู่ในระดับสูงสุดและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการที่จีนเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ครอบคลุมธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีจีนปรับลดลงจนถึงจุดที่น่าสนใจ ขณะเดียวกันกำไรต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้นและยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบัน ดัชนี “Hang Seng Tech Index” มี P/E Ratio ประมาณ 16 เท่า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี และต่ำกว่า “หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ” ถึง 44% (ที่มา: Bloomberg ณ วันที่ 20 มิ.ย. 25)
(ศิระ คล่องวิชา)
“แม้ว่ากำไรต่อหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นและยังคงมีทิศทางเติบโต แต่ดัชนีนี้ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 2021 ถึง 54% (ที่มา: Bloomberg ณ วันที่ 20 มิ.ย. 25) คาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยเฉลี่ย 2.5% ต่อปี และหากนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน อัตราการเติบโตอาจเพิ่มขึ้นเป็น 9% ต่อปี” (ที่มา : Wind, Bloomberg, Goldman Sachs Global Investment Research ณ 17 ก.พ. 25)
นอกจากนี้ สัดส่วน “การถือครองหุ้นจีน” อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปี โดยมีทิศทางปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลกตั้งแต่ปี 2020 ปัจจุบันการถือครองหุ้นจีนมีเพียง 4.6% ทำให้มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลเข้ามาลงทุนมากขึ้น ในขณะเดียวกันบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีนก็ได้เพิ่มการซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่อง จากที่มีมูลค่าต่ำกว่า 20 พันล้านหยวนในปี 2019 เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 300 พันล้านหยวนในปี 2024 และยังมีแนวโน้มที่จะซื้อหุ้นคืนเพิ่มขึ้นอีกรวมกว่า 64.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ที่มา: Company Filings, Bloomberg Intelligence ณ 13 พ.ค. 25) ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางบวกจากการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนที่ผ่อนคลายนโยบายและสนับสนุนภาคเอกชนมากขึ้นนั่นเอง
“จากปัจจัยต่างๆ มองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำในดัชนี ‘Hang Seng Tech Index’ ซึ่งเป็นดัชนีหลักของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในจีน เข้าถึงการลงทุนในบริษัทที่มีความแข็งแกร่งและได้เปรียบทางการแข่งขัน”
ให้น้ำหนัก “หุ้นจีน” มากกว่าตลาด (Overweight)…โอกาสเติบโตระยะกลาง-ยาว
เช่นเดียวกับ “วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์”กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย ที่มองว่า “ตลาดหุ้นจีน” เริ่มกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง จาก 3 เหตุผลหลักๆ ประกอบด้วย 1) “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ” ความเปราะบางทางเศรษฐกิจของจีน ประกอบกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากประเด็นสงครามการค้ากับสหรัฐ ทำให้รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และยังทยอยออกมาตรการเพิ่มเติมต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เพื่อผลักดันให้การเติบโตของ GDP เป็นไปตามเป้าหมาย 5% ในปีนี้ โดยใช้มาตรการต่างๆ ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน, การคลัง และด้านการลงทุน
2) “แรงสนับสนุนของภาครัฐต่อกลุ่มเทคโนโลยี” จีนนับว่าเป็นประเทศที่โดดเด่นในด้านเทคโนโลยีอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งในปีนี้ก็ยังมีการเติบโตที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง หลังจากที่รัฐบาลจีนได้จัดสรรงบประมาณกว่า 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเน้นเป็นพิเศษกับเซมิคอนดักเตอร์, AI และการพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัม เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ รวมถึงตอบโต้ประเด็นภาษีและข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ
(วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์)
“นอกจากนี้ การเปิดตัวโมเดล AI อย่าง ‘DeepSeek’ ยังสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในตลาด AI แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศของจีนเป็นอย่างดี ทำให้ “หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน” มีแนวโน้มได้รับการปรับประเมินมูลค่าสูงขึ้น จากแรงสนับสนุนของภาครัฐและการพัฒนาเทคโนโลยีของจีนอย่างต่อเนื่อง”
และ 3) แม้เศรษฐกิจยังเผชิญความท้าทาย แต่ตัวเลขชี้วัดล่าสุดเริ่มมีบางส่วนออกมาดีกว่าคาด ทั้งยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 6.4% (เทียบรายปี) แข็งแกร่งกว่าในเดือน เม.ย.ที่เพิ่มขึ้น 5.1% และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 5% ทำ ด้านอัตราว่างงานในพื้นที่เขตเมืองของจีนอยู่ที่ระดับ 5% ในเดือน พ.ค. ชะลอตัวลงจากระดับ 5.1% ในเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 24
“เรามีมุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ระดับ ‘Overweight’ จากนโยบายทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ออกมา รวมถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีน ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า และเพิ่มความแข็งแกร่งกลุ่มเทคโนโลยี ที่ยังมีการพัฒนาต่อเนื่อง และมีแนวโน้มทำผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นโลก ‘จีน’ จึงเป็นตลาดที่ไม่ควรมองข้ามในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสเติบโตระยะกลางถึงยาว”
สำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะกลาง-ยาว และราคา “ถูก” เชื่อว่า “หุ้นจีน” จะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะธีม “หุ้นเทคโนโลยีจีน” ที่พื้นฐานแกร่ง ราคาไม่แพง และกำไรเติบโตดี ที่สำคัญยังถูกกว่า “หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ” กว่า 44% อีกด้วย