หมัดฮุกในสังเวียนชีวิตของ ‘MILLI’ ผู้เรียกตัวเองว่า ‘Woman Fighter’ และถึงแม้จะภูมิใจในตัวเอง แต่บางวันก็ยังรู้สึกแย่ เพราะคำตัดสินจากคนอื่น
ภายใต้บทเพลงคือเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ ภายใต้ความมั่นใจยังแฝงไปด้วยความเปราะบาง และภายใต้การเป็นนักสู้ก็หนีไม่พ้นบาดแผลจากการโดนตัดสิน นี่อาจคือคำนิยามตัวตนในวัย 22 ปีของ‘MILLI’ หรือ‘มิลลิ - ดนุภา คณาธีรกุล’ แรปเปอร์รุ่นใหม่มากประสบการณ์ที่เป็น Woman Fighter ทั้งในวงการเพลง สนามมวย และชีวิตจริงของเธอเอง
“ศิลปินหญิงต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะมาก ต้องร้องได้ เต้นได้ แรปได้ หุ่นต้องดี หน้าต้องสวย …ต้องระวังทุกอย่างไปหมดเลย เต้นแรงเกินไปก็ไม่ดี ถอดเสื้อบนเวทีก็ไม่ได้ จะโดนบอกว่า ‘ทำแบบนั้นได้ยังไง เราเป็นผู้หญิงนะ’ แล้วทำไมผู้ชายทำได้ล่ะ?” นี่คือหนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นในใจมิลลิ ณ ช่วงเวลานี้
แต่ต่อให้จะต้องเผชิญกับคำสบประมาทในการเป็นแรปเปอร์หญิง หรือโดนกดทับจากมาตรฐานความงามของสังคมไทย หรือแม้แต่ความท็อกซิกในความสัมพันธ์ที่พาไปสู่ความผิดหวังซ้ำๆ แต่เธอคนนี้ก็ไม่เคยหยุดพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคมภายนอก แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่า เธอนี่แหละคือตัวจริงที่คู่ควร
ที่ผ่านมา เราได้รู้จักมิลลิในหลากหลายบทบาท ไม่ว่าจะเป็นศิลปินเดี่ยว เกิร์ลกรุ๊ป ผู้เป็นกระบอกเสียงทางการเมือง นักมวย และเจ้าของธุรกิจ นับตั้งแต่ก้าวแรกในรายการ The Rapper 2 ก่อนจะมาเป็นศิลปินในสังกัดค่าย YUPP! และสร้างสรรค์ผลงานเพลงที่ไวรัลทั่วบ้านทั่วเมือง จนกระทั่งได้มีโอกาสร่วมงานกับศิลปินชื่อดังมากมาย พร้อมแสดงศักยภาพบนเวทีระดับโลก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ข้าวเหนียวมะม่วงฟีเวอร์ ล่าสุดมิลลิได้ผลักดัน Soft Power เรื่องมวยไทยอีกครั้งในงาน Head In The Clouds Festival ผ่านการแสดงเพลงบางส่วนของอัลบั้มชุดที่สองอย่าง‘HEAVYWEIGHT’ ซึ่งตอนนี้ทุกคนสามารถไปฟังอัลบั้มเต็มกันได้แล้ว
กว่ามิลลิจะเข้าใจ ยอมรับ และภูมิใจในตัวตนของตัวเอง เธอก็เคยเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่วิ่งตามบรรทัดฐานของสังคม และกล่าวโทษตัวเองเพราะคำพูดของคนอื่นหลายต่อหลายครั้ง จนตอนนี้ก็ยังมีบางวันที่เธอรู้สึกไม่พอใจในรูปร่างหน้าตา บางครั้งก็ยังรู้สึกว่าผลลัพธ์ในการทำเพลงไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ บางทีก็ยังรู้สึกแย่เพราะอคติทางเพศหรือเสียงตัดสินจากคนอื่น และบ่อยครั้งเธอก็ยังเสพติดความท็อกซิกในความรักโดยไม่รู้ตัว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะมิลลิเชื่อว่า “ไม่มีทางที่เราจะเพอร์เฟกต์ในทุกๆ วันได้อยู่แล้ว”
เชิญรับชมหมัดฮุกในสนามชีวิตของ ‘MILLI’ ศิลปินผู้มีทั้งไฟและใจที่พร้อมสู้
Woman Fighter ในวัย 22
ขอคำนิยามการเป็น ‘Woman Fighter’ ของมิลลิในวัย 22 ปีหน่อย
เมื่อไรจะเลิก Fight ได้วะ มันจะสู้ไปถึงไหนวะเพื่อน แต่สุดท้ายเราก็คุยกับตัวเองว่า เราก็พิสูจน์เพื่อความสบายใจของตัวเอง ตอนนี้อายุ 22 แล้วก็ยังต้อง Fight อยู่ และคิดว่าคงต้อง Fight ต่อไปเรื่อยๆ แหละ เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องสู้ไปจนถึงอายุเท่าไร แต่ชีวิตคนเราเกิดมา มันต้องสู้เนอะ
ตอนนี้มิลลิกำลัง Fight เพื่ออะไร?
บางทีเราก็ไม่แน่ใจว่า เรากำลังสู้อยู่กับอะไร เรากำลังสู้อยู่กับความกดดันของตัวเอง หรือข้อกังขาต่างๆ เพื่อพิสูจน์ว่า ตัวฉันทำได้ หรือแม้กระทั่งพยายามสู้เพื่อลบคำสบประมาทจากคนอื่น ซึ่งคำสบประมาทเข้ามาไม่รู้จบรู้สิ้นอยู่แล้ว ต่อให้เราทำดีถึงดีที่สุด แต่สักพักมันก็จะมีคำสบประมาทใหม่เกิดขึ้นอยู่ดี เหมือนการขึ้นบันไดไปทีละขั้น เพราะฉะนั้น ตอนนี้เรารู้สึกว่ากำลังสู้เพื่อตัวเอง ในอีกแง่หนึ่ง เราก็ทำเพลงออกมา เพื่อบอกกับคนที่รู้สึกเหมือนกันว่า “มาสู้กัน” ทั้งสู้กับตัวเองและปัญหาข้างหน้า
จากเด็กผู้หญิงที่เคยวิ่งตามบรรทัดฐานของสังคม สู่ไอดอลของใครหลายคน คิดว่าอะไรทำให้มิลลิเติบโตขึ้นเช่นนี้?
สิ่งที่ทำให้มิลลิเติบโตขึ้นคือ ‘การพูดคุยคุยกับตัวเองและคนอื่น’ เราค่อยๆ เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น จนเข้าใจว่า เราเป็นตัวเองก็ได้นะ เพราะเราก็ยังแฮปปี้ที่ได้เป็นตัวเอง โดยไม่ต้องพยายามเปลี่ยนตามบรรทัดฐานของสังคมมากขนาดนั้น ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตโดยบอกกับตัวเองว่า ชีวิตมันยากแล้ว ใช้ให้มันง่ายๆ บ้าง อย่างเพลงในอัลบั้ม 2 เราก็กล้าที่จะเผย Personality ตัวเองออกมามากขึ้น กล้าที่จะพูดและถ่ายทอดออกมาว่า เราเป็นคนดีหรือไม่ดียังไง ซึ่งเกิดจากการยอมรับและเข้าใจตัวเองว่า เราเป็นคนแบบไหน
ขณะเดียวกัน เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการรับฟังคนอื่น ถ้าเราพูดอย่างเดียว เราก็จะได้ยินแค่เสียงตัวเอง แต่ถ้าเรารับฟังคนอื่น เราก็จะได้ยินเสียงของทุกคน ซึ่งทำให้เรามองเห็นความผิดพลาดของตัวเอง อย่างในเพลงพักก่อน และสามารถนำมาปรับใช้กับการทำงานได้จนถึงปัจจุบัน
ขอหนึ่งเรื่องที่มิลลิเพิ่งเข้าใจ และกล้ายอมรับความเป็นตัวเอง
ก่อนอัลบั้ม 2 จะเกิดขึ้น เราพยายามแต่งเพลงเท่าไรก็รู้สึกไม่เวิร์ก เพราะเราพยายามเป็นเหมือนศิลปินคนอื่นที่มีความลึกลับซับซ้อนในการแต่งเพลง แต่จริงๆ แล้ว เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราเป็นคนตรงไปตรงมา รู้สึกอะไรก็พูดออกมาเลย เราสามารถยอมรับ จำแนก และแยกแยะความรู้สึกของตัวเองได้ว่า เรารู้สึกไม่โอเคเพราะเหตุผลอะไร เพราะโกรธ เสียใจ หรืองี่เง่า รวมถึงอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า เรารู้สึกอย่างไร และต้องการให้อีกฝ่ายทำอะไร
ในเมื่อเราสามารถหาทางแก้ไขปัญหาด้านอารมณ์ของตัวเองได้ แต่กลับกัน ในการทำเพลง แทนที่เราจะสื่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาแบบที่เราเป็น เรากลับอ้อมไปอ้อมมา ซึ่งมันหนีความเป็นตัวเองไปโดยสิ้นเชิง และเราเองก็ไม่ชอบการโกหกความรู้สึกตัวเอง เช่น การบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งที่จริงแล้วรู้สึกไม่โอเค แต่เรากลายเป็นคนแบบนั้นซะเองในการแต่งเพลง เราเลยกลับมาคุยกับตัวเองใหม่อีกครั้ง
มิลลินิยามตัวเองว่าเป็น Bisexual แล้วคิดอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่า “เป็นไบจริงเหรอ ทำไมคบแต่กับผู้ชาย”?
ใช่ โดนบ่อยมาก เราก็คิดว่า ฉันต้องพิสูจน์ยังไงให้เธอเก็ทว่า ฉันเป็นไบเซ็กชวล ไหนบอกมาสิ (หัวเราะ) สำหรับเรา คอมมูฯ หญิงรักหญิงมีความยากอย่างหนึ่ง เรื่องการ Stereotype ว่าในความสัมพันธ์จะต้องมีฝ่ายหนึ่งที่มีความ Masculine และอีกฝ่ายมีความ Feminine
ผู้หญิงบางคนจะต้องการความ Masculine จากเรามากๆ หรือเราจะต้องมีความ Feminine ที่สุดไปเลย ถ้าอีกคนมีความ Masculine ทําให้เราไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดี เพราะเราก็มีทั้งความแจ๊ดแจ๋และความเท่ มีทั้งความ Feminine และ Masculine ในตัวเอง ส่วนตัวเรายังไม่ค่อยเจอผู้หญิงที่ยอมรับทั้งสองด้านของเราได้ ตอนนี้ก็ยังตามหาอยู่
อัลบั้ม HEAVYWEIGHT อยากสื่อสารเรื่องราวแบบไหน?
อยากสื่อสารด้านความ HEAVY ของตัวเอง ทั้งในแง่การเป็นนักสู้ การพิสูจน์ตัวเอง เรื่องราวที่เคยพบเจอ และความสัมพันธ์ต่างๆ ซึ่งในอัลบั้มนี้จะพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์มากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีเพลงไหนที่เป็นความรักที่สมหวังเลย ส่วนใหญ่จะเป็น Situationship เพราะเราแต่งมาจากประสบการณ์ของเราจริงๆ
ONE PUNCH
ทำไมจึงอยากนำเสนอภาพของผู้หญิงที่เป็นนักสู้ (Women Fighter) ในเพลง ONE PUNCH?
เพลงนี้มี Background Story ตั้งแต่เริ่มต่อยมวย เราโดนท้าต่อยเยอะมาก บางคนก็พูดว่า “แรงผู้หญิงจะสักแค่ไหน” ก่อนหน้านี้เราเรียนมวยแล้วโดนเตะท้อง วันต่อมาก็มีรุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่งโดนเตะท้องเหมือนกัน แต่เขาอ้วกด้วย เราเลยบอกเขาว่า “เฮ้ย ไม่เป็นไร เพิ่งโดนมาเหมือนกัน” แล้วเขาก็ตอบเราว่า “ที่ครูเตะพี่ไม่เหมือนกับที่เตะผมหรอก”
เราเข้าใจว่า ร่างกายของผู้หญิงกับผู้ชายมันต่างกันนะ แต่เราฟังแล้วรู้สึกไม่ดีกับคำพูดแบบนี้ อาจเพราะท่าทีในการพูดที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนโดนดูถูก เราไม่สนว่าผู้ชายจะมีแรงเยอะกว่า ต่อให้เราไม่มีแรง แต่เรามีใจที่สู้แล้วกัน สุดท้ายมันเลยกลายเป็นความรู้สึกอยากต่อสู้ให้ชนะภายในหมัดเดียว ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเพลง ONE PUNCH
เพลงนี้ถ่ายทอดจากเรื่องจริงของมิลลิ เล่าถึงการพิสูจน์ตัวเองและสิ่งที่ต้องต่อสู้ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งให้ฟังหน่อย
ถ้าในแง่ของการเป็นศิลปิน ศิลปินหญิงต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะมาก ต้องร้องได้ เต้นได้ แรปได้ หุ่นต้องดี หน้าต้องสวย การแสดงโชว์หนึ่งครั้ง เราต้องมีช่างหน้าช่างผมสไตล์ลิสต์ และต้องทําตัวเองให้จึ้งอยู่ตลอดเวลาอีก แต่ศิลปินชายไม่ต้องแต่งหน้าก็ได้ แค่ใส่เสื้อยืด ใส่แว่นดำ หรือถอดเสื้อก็เท่แล้ว
ศิลปินหญิงต้องระวังทุกอย่างไปหมดเลย เต้นแรงเกินไปก็ไม่ดี ถอดเสื้อบนเวทีก็ไม่ได้ จะโดนบอกว่า “ทำแบบนั้นได้ยังไง เราเป็นผู้หญิงนะ” แล้วทำไมผู้ชายทำได้ล่ะ? จริงๆ เราชอบที่จะทุ่มเททำงานให้ออกมาดีที่สุดแหละ แต่บางครั้งมันก็เป็นความน้อยเนื้อต่ำใจว่า กว่าจะเชื่อเนอะว่าเราเป็นศิลปินคนหนึ่ง ทําไมเราต้องทำขนาดนี้ มันไม่เห็นจะยุติธรรมเลยที่เราต้องพิสูจน์ตลอดเวลาว่า เราทําอะไรได้บ้าง ขณะที่บางคนไม่เห็นต้องพยายามขนาดนั้น ทุกคนก็เชื่อแล้วว่าเขาทําได้ ทุกคนก็สนับสนุนแล้ว
ถ้าถามว่าคนที่ตั้งคำถามในตัวเราผิดไหม ก็ไม่ได้ผิดทั้งหมดหรอก เพราะเราก็ต้องจัดการความรู้สึกข้างในของตัวเอง และจริงๆ ศิลปินคนอื่นก็คงต้องพิสูจน์หลายอย่างมาเหมือนกัน เพียงแต่เราไม่รู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง
มิลลิคิดอย่างไรกับการพูดถึงผู้หญิงเป็น Sex Object ในวงการแรปเปอร์?
ในวงการแรปเปอร์ บางเพลงพูดถึงผู้หญิงเป็น Sex Object (วัตถุทางเพศ) แบบเหมารวมอย่างชัดเจน แล้วมาชวนเราไป Featuring ด้วย เราก็ตั้งคำถามว่า เขากําลังจะร่วมงานกับศิลปินผู้หญิง แต่กลับพูดถึงผู้หญิงในเพลงแบบนั้นเหรอ? สุดท้ายเราก็ตัดสินใจไม่ร่วมงานนั้น เพราะเราไม่รู้จะวางตัวเองใน Position ไหน
คิดว่า ‘ONE PUNCH’ หรือหมัดฮุกของมิลลิคืออะไร?
หมัดฮุกของเราคือ ‘การทำ’ อยากทำอะไรก็ทำเลย แล้วทำให้มันสุดจริงๆ จะได้ไม่ต้องมาเสียดายทีหลัง หรือรู้สึกว่า รู้งี้ตอนนั้นเราน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อให้มันจะไม่สำเร็จ แต่เราก็ไม่ได้เสียใจกับการกระทําที่ผ่านมา เพราะทุกความผิดพลาดทําให้เราเรียนรู้
เรารู้ตัวเรื่องนี้เร็วมาก เพราะครอบครัวปลูกฝังให้ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ และมีแพลน A แพลน B สำรอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำซ้อนย้อนหลัง เช่น การลงสมัคร ‘ประธานนักเรียน’ ตอนแรกเราจะสมัครรองประธาน เพราะแค่อยากทำงานในสภานักเรียน แต่คุณพ่อก็บอกว่า สมัครแล้วก็ทำให้สุดไปเลย สมัครตำแหน่งประธานไปเลย
เราใช้ชีวิตด้วยทัศนคติแบบนี้มาเรื่อยๆ เราถึงตระหนักได้ว่า เมื่อเราเต็มที่กับอะไรสักอย่างจริงๆ คนอื่นก็จะมองเห็นความเต็มที่ของเราเอง อย่างการแข่งต่อยมวยครั้งล่าสุด เราก็อยากชนะ แต่สุดท้ายแล้ว มันแพ้ มันก็ไม่เป็นไรเลย เพราะทุกคนเห็นแล้วว่า เราโคตรพยายามแล้ว เราเองก็เห็นว่า ตัวเราอดทน มีความรับผิดชอบ และตั้งใจกับมันมากขนาดไหน ไม่มีสักวินาทีเดียวที่รู้สึกว่า รู้งี้ เราไม่น่ามาซ้อมเลย แม้เราจะเหนื่อย เครียด ร้องไห้ แต่เราก็แฮปปี้มากๆ การเป็นศิลปินก็เหมือนกัน แม้บางครั้งกระแสตอบรับจะไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวัง แต่เราก็รู้สึกยินดีที่จะได้อยู่ตรงนี้
ทำไมเปรียบตัวเองเป็น Whale Shark หรือฉลามวาฬ?
ในเพลงเราเปรียบเทียบอีกฝ่ายว่าเป็น Catfish (ปลาดุก) ซึ่งอีกความหมายหนึ่งคือพวกที่ชอบก๊อปชอบหลอกลวงคนอื่น เราจึงเลือกเปรียบตัวเองเป็น ‘ฉลามวาฬ’ ซึ่งเป็นฉลามที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อสื่อสารว่า เราคือ HEAVYWEIGHT หรือตัวจริงในวงการนี้
ในงาน Head In The Clouds Festival ทำไมจึงชวนคุณ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ไปขึ้นเวทีระดับโลกด้วยกัน?
เพลง ONE PUNCH พูดถึงการเป็น Fighter ในฐานะที่เราเป็นผู้หญิง เราจึงเรียกตัวเองว่า Women Fighter แต่จริงๆ แล้ว ทุกคนต่างเป็น Fighter เพราะทุกคนมีเรื่องที่จะต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลา พี่บัวขาวเองก็เป็นหนึ่งใน Fighter ที่แสดงให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า พี่เขาสู้มาจริงๆ เป็นทั้ง Fighter ในสนามมวย และ Fighter ในชีวิตจริงของเขาด้วย เราและค่าย 88rising จึงมองว่าพี่บัวขาวเหมาะสมมากๆ ที่จะมาเป็น Special Guest ในเพลง ONE PUNCH และทำให้โชว์ครั้งนี้ขลังขึ้นไปอีก
MENACE
เพลง MENACE เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดของมิลลิอย่างไร?
เพลงนี้ก็แต่งมาจากชีวิตส่วนตัวของเราเหมือนกัน โดยเล่าถึง Situationship ที่มีความ Toxic ซึ่งเราเรียนรู้แล้วว่าจะไม่กลับไป แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า จะออกมาได้จริงหรือเปล่า ทั้งที่รู้แล้วว่า ผู้ชายคนนี้อันตราย เจ้าชู้ และทําให้เราเจ็บปวด แต่สุดท้ายก็ยังกลับไปอ่านหนังสือเล่มเดิมอยู่ดี อย่างใน Music Video เราก็พยายามที่จะเดินออกมา และคิดว่าจะไม่กลับไปอีกแล้ว แต่แค่ได้ยินเสียงเปิดประตู ก็แพ้ทางไอต้าวเหมือนเดิม
อะไรทําให้เรากลับไปอยู่ในความสัมพันธ์เดิม ทั้งที่เราก็รู้ว่ามันไม่ดี?
สิ่งที่ทำให้คนเสพติด Toxic Relationship คือความสัมพันธ์แบบนี้มีความสวิงขึ้นสุดลงสุด เวลาดีก็ดีที่สุด ดีจนเรารู้สึกว่า เฮ้ย จะไปหาแบบนี้จากที่ไหนได้วะ แต่ในขณะเดียวกัน ตอนแย่ก็โคตรแย่เหมือนกัน ถึงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ทำเราพัง แต่ก็ทำให้เราแฮปปี้มากๆ
กราฟความสัมพันธ์มันไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นเส้นโค้งที่ขึ้นสุดลงสุด ทำให้คนที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้รู้สึกสนุกสุดเหวี่ยงเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ (Roller Coaster) เพราะมันเป็นอะไรที่เดาไม่ได้ แต่พอเดินออกมาได้แล้ว ย้อนกลับไปมองตัวเองก็รู้สึกว่า ตอนนั้นเหนื่อยนะ ทำไปทำไม (หัวเราะ)
คิดว่าคุ้มค่าไหมกับการเสียสุขภาพจิตไปกับ Toxic Relationship?
เอาจริงเราคิดว่ามันคุ้มค่า เพราะเราเพิ่งอายุ 22 เอง ก็ใช้ๆ ไปเถอะชีวิตอ่ะ ลองเศร้าที่สุดไปเลย ดีใจที่สุดไปเลย วันหนึ่งเราจะได้เรียนรู้ว่า คนแบบไหนเหมาะกับเราจริงๆ แล้วถ้าเราเจอคนที่ใช่แล้ว เราก็จะรู้ว่าควรจัดการกับความสัมพันธ์นั้นอย่างไร ก็ปล่อยให้ตัวเองได้เรียนรู้ไป ถ้าไม่เจ็บเดี๋ยวจะไม่มีเพลง
คิดว่าทำไมถึงเจอแต่ความสัมพันธ์ Toxic?
จริงๆ เราก็ไม่ใช่คนที่ดีนักหรอกในความสัมพันธ์ อาจจะเพราะตัวเราเองด้วยที่มีความท็อกซิก เลยดึงดูดแต่คนท็อกซิกเข้ามา อย่างในเพลงแทร็คสุดท้ายของอัลบั้ม ซึ่งมีชื่อว่า ‘HP’ มาจากค่าพลังงานชีวิตในเกม TEKKEN เล่าถึงความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายบอกเลิกซ้ำๆ หลายครั้ง ทั้งที่เราจริงจังกับคำนี้มาก จนวันหนึ่งค่าพลังงานชีวิตของเราหมดจนไม่เหลืออะไรแล้ว เราสามารถเดินออกมาโดยไม่เสียดายอะไรเลย เพราะเราได้ทําทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่เขาอาจจะยังรู้สึกอยู่ เราจึงกลายเป็นคนใจร้ายในความสัมพันธ์นั้น
มิลลิเดินออกจากความสัมพันธ์แบบ MENACE ที่ทำร้ายตัวเองได้อย่างไร?
เราจะเขียนสรุปความสัมพันธ์ เวลาเจอปัญหาใหญ่ หรือกำลังจะจบความสัมพันธ์นั้น เพื่อบันทึกว่าเรารู้สึกยังไง เจออะไรมาบ้าง ซึ่งการเขียนไดอารีช่วยให้ความรู้สึกความคิดข้างในตัวเราได้จัดระบบมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจตัวตนของตัวเองมากขึ้น และรู้ว่าเราต้องการอะไรในความสัมพันธ์
มิลลิคิดว่าตัวเองคู่ควรกับความรักแบบไหน?
อยากได้คนที่สามารถเป็น Partner ให้กับเรา เราไม่ได้อยากเป็น First Priority ของเขา เราเป็นอันดับ 2 อันดับ 3 ก็ได้ แต่อยากให้ First Priority คือแพสชันของเขาเอง ถ้าเขาแพสชันอะไร ก็อยากให้เขาลุยเลย เพราะเราชอบเป็น Supporter มากๆ ซึ่งเราก็คาดหวังให้เขาซัปพอร์ตเราเหมือนกัน เพราะ First Priority ของเราก็คือการเป็นศิลปินและการทําเพลง ถ้าเขาไม่เข้าใจตรงนี้ สุดท้ายความสัมพันธ์ก็คงจบลงเหมือนเพลง ‘Priority’ ในโปรเจกต์ DREAMGALS
มิลลิเคยโดน Gaslighting ไหม?
เคย ไม่ว่าเราจะทําแค่ไหนก็ไม่เคยดีสําหรับเขาเลย เดี๋ยวตรงนี้ก็ผิด ตรงนั้นก็ผิดอีกแล้ว เช่น เขาขอให้เราไม่ออกไปเที่ยว ทั้งที่เขาเจอเราจากที่เที่ยวด้วยซ้ำ เราก็ยอมปรับให้น้อยลง แต่พอน้อยลงปุ๊บ เขาก็ขอให้ไม่ออกไปเลย มันคุยกันไม่รู้เรื่อง เราก็ไม่ค่อยแฮปปี้ เพราะเราเต็มที่มากๆ แล้ว ถ้ามันยังไม่โอเคอีก ก็ไม่รู้ต้องทำยังไงแล้ว เรามองหาทางออกไม่เจอ และไม่รู้ว่าเราจะต้องพยายามไปถึงไหน
จากเนื้อเพลงท่อน “Got sincerity but you keep judging” มิลลิเคยโดนตัดสินจากคนรักไหม?
ด้วยความที่เราเป็นคนเฟรนด์ลี่ และมีเพื่อนผู้ชายเยอะ บางครั้งเขาก็ไม่โอเคในการกระทำของเรา เรื่องส่วนใหญ่ที่จะทำให้เราเฮิร์ทคือ เรื่องงานและเรื่องที่เราคิดว่าเขาจะเข้าใจ แต่กลับไม่เข้าใจ ซึ่งคำพูดคำตัดสินของคนใกล้ยิ่งเจ็บยิ่งปวดมากกว่าคนไกลตัว
มิลลิโพสต์ในแพลตฟอร์ม X (Twitter) ว่าภูมิใจนมของตัวเองใน Music Video เพลง MENACE อยากบอกอะไรกับผู้หญิงที่ไม่มั่นใจในหน้าอกของตัวเอง?
เราก็เพิ่งทราบเหมือนกันว่า หลายคนไม่ค่อยมั่นใจในหน้าอกของตัวเอง จริงๆ เราโพสต์ไปเรื่อยมาก แค่นั่งดู MV เพลงนี้แล้วรู้สึกว่านมเราสวยจริง เลยอยากบอกต่อว่า สิ่งที่เราทําคือการวิดพื้น
แต่เอาจริงนะ กว่าจะมาเจอหุ่นที่เราแฮปปี้กับตัวเองก็ใช้เวลาสักพักหนึ่งเหมือนกัน ช่วงที่เราผอมสุดๆ เราก็ไม่ได้แฮปปี้กับหุ่นตัวเอง เรารู้สึกไม่มีแรง หรือช่วงที่กินแซ่บขึ้น เราก็เฮิร์ทจากคําพูดคนอื่น เช่น มิลลิอ้วนจัง แม้กระทั่งตอนนี้ที่รู้สึกแฮปปี้กับหุ่นตัวเองแล้ว แต่บางทีเราก็ยังไม่พอใจ
เราไม่กล้าไปสอนหรือให้กําลังใจใครในเรื่องความสวยงาม หุ่น รูปร่าง เพราะตัวเราเองก็อยากมั่นใจในตัวเองมากขึ้นกว่านี้เหมือนกัน เราก็ประสบปัญหาเหมือนกัน เรามองตัวเองในกระจก บางวันเราก็รักตัวเอง บางวันเราก็เกลียดตัวเอง บางวันภูมิใจที่ได้หุ่นนี้มา บางวันรู้สึกว่ายังอ้วนไปอยู่ดี มันเป็นความรู้สึกที่ยังหนีไม่ได้ ซึ่งถ้าใครรู้ทางออก บอกกันหน่อยนะคะ อยากจะช่วยซัพพอร์ตทุกคน
เท่าที่ลองอ่านมา คิดว่าทุกคนน่าจะเป็นเหมือนกันหมดมั้ง ว่าบางวันพอใจ บางวันไม่พอใจ ซึ่งจริงๆ ไม่พอใจได้ ไม่เป็นไร แต่อย่าถึงขั้นเกลียดหรือทําร้ายตัวเอง ให้โอกาสให้ตัวเองได้ลองกินช็อกโกแลต กินของอร่อยๆ ดูก่อน หรือลองกินไฟเบอร์ไหม ก็อาจจะมีอะไรดีขึ้น
สุดท้ายแล้ว เราก็ไม่ได้มั่นใจตลอดเวลา อยากบอกมากๆ ว่าทุกคนไม่ต้องมั่นใจตลอดเวลาก็ได้ วันนี้ไม่มั่นใจเลย ไม่เซลฟ์ในจุดนี้ของหน้าเลย ไม่ชอบตัวเอง ไม่เป็นไร มันมี Bad Hair Day ได้ มีวัน Bad Makeup Day ได้ แต่เราต้องรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง สวยแบบไหน ชอบอะไร
อย่างเราก็ชอบที่ตัวเองมีผิวสีนี้ ได้ออกกำลังกาย มีตูดหุ่นนมแบบนี้ เรายังชอบร่างกายตัวเองอยู่ แต่แค่บางวันบางทีร่างกายเราอาจจะไม่ได้เป๊ะอยู่แล้ว ต่อให้คุณออกกําลังกายมาแค่ไหน มันไม่มีทางที่คุณจะมีร่อง 11 ในทุกๆ วัน หรือกินแล้วร่อง 11 มันยังเป๊ะอยู่
คำพูดนี้เราบอกตัวเองด้วยนะ คือใจดีกับตัวเอง ใจเย็นๆ กับตัวเองหน่อย ไม่มีทางที่เราจะเพอร์เฟกต์ในทุกๆ วันได้อยู่แล้ว ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ต้องมั่นใจทุกวันก็ได้ แต่ต้องรักตัวเอง
คิดว่ามาตรฐานความงามในวงการ T-POP ส่งผลกับมิลลิไหม?
ส่งผลมากๆ ล่าสุดมีแฟนคลับส่งข้อความหนึ่งมาว่า เข้าใจที่ชอบเล่นกีฬานะลูก แต่ไม่มีใครเขาชอบหุ่นที่กล้ามหรอก มันน่ากลัว ผู้หญิงไม่ควรมีกล้ามนะ ให้เราลองดูคนอื่นๆ ใน T-POP ว่าเขาผอมกัน เราเข้าใจว่าเขารักและหวังดีกับเรา อยากให้เราเลิศที่สุดสวยที่สุด แต่เราก็แฮปปี้กับการได้เล่นกีฬาแบบนี้เหมือนกัน ถ้ากล้ามเนื้อบางจุดหายไป มันส่งผลกับการเล่นกีฬาของเรา ทำให้มีประสิทธิภาพน้อยลง ซึ่งเราก็จะเศร้า
อยากบอกอะไรกับคนที่อาจจะไม่กล้าพูดเรื่องหน้าอกของตัวเอง?
เราพูดไม่ได้เหรอ? ก็ไม่ได้แปลกนะ พูดไปเถอะ ถ้าเราจะภูมิใจในร่างกายของตัวเองในวันนี้ เพราะพรุ่งนี้เราอาจจะไม่ภูมิใจเลยก็ได้ ในวันนี้ที่ภูมิใจแล้วก็ขออวดก่อน
Next Step ของ Heavyweight
นอกจากเรื่องหน้าอก เรื่องล่าสุดที่ภูมิใจในตัวเองคืออะไร?
ภูมิใจเรื่องการมีกล้ามเนื้อมากพอที่เราจะกินอะไรก็ได้โดยที่ไม่อ้วน เพราะกล้ามเนื้อคือตัวช่วยเผ่าผลาญ ตอนนี้เตาเผาของเราค่อนข้างแข็งแรงมาก ทำให้กินอะไรแล้วน้ําหนักเรามันยังเท่าเดิม หรือหุ่นไม่ได้ต่างจากเดิมมาก แต่เราก็ยังต้องการคน Remind เราในทุกๆ วันว่า เราสวย หุ่นดี หรือทําได้ดีแล้ว เหมือนคำตอบจากตัวเรายังไม่เพียงพอ
มิลลิคือศิลปินแรปเปอร์รุ่นใหม่ที่มีผลงานดังมากมาย และเคยแสดงบนเวทีระดับโลกแล้ว ณ ตอนนี้ มิลลิกำลังมุ่งไปสู่ ‘ความสำเร็จ’ แบบไหน และยังมีสิ่งที่กลัวในการทำงานไหม?
เป้าหมายสูงสุดที่อยากไปให้ถึงจริงๆ คืออยากมีอัลบั้มทัวร์ (Album Tour) และ World Tour ส่วนความฝันที่อยากให้เกิดขึ้นเร็วๆ นี้คืออยากให้คนซื้อบัตรเพื่อมาดูเราจริงๆ ในโซโล่คอนเสิร์ตของเราเอง
ความกลัวมีอยู่ตลอด ว่าเขาจะชอบเราไหมนะ จะมีคนซื้อบัตรไหม จะมีคนรักเรามากพอถึงขั้นต้องซื้อบัตรเข้ามาดูเราประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งไหม เราจะน่าสนใจมากพอไหม หรือเวลาปล่อยเพลงใหม่ออกมาก็ยังมีความกลัว อย่างเพลง ONE PUNCH ตอนแรกเราก็เครียดและคาดหวัง ยอดวิว หรือ Engagement ก็ส่งผลกับเราโดยตรงเหมือนกัน เพราะถ้าเปรียบเทียบกับเพลงก่อนๆ มันก็ถือว่าน้อย แต่เราก็พยายามทำเต็มที่ และบอกตัวเองว่าจะให้ยอดวิวพุ่งทุกเพลง มันก็คงไม่ได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าการพูดกับตัวเองแบบนี้ มันเป็นการปลอบใจตัวเอง หรือจะดู Loser ไปหรือเปล่า
เราอยากให้เพลงไปถึงผู้คนได้หลายๆ คน เพราะเราก็ตั้งใจทําทุกเพลง
ภาพโดย IG : @pondismine
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- หมัดฮุกในสังเวียนชีวิตของ ‘MILLI’ ผู้เรียกตัวเองว่า ‘Woman Fighter’ และถึงแม้จะภูมิใจในตัวเอง แต่บางวันก็ยังรู้สึกแย่ เพราะคำตัดสินจากคนอื่น
- แต่ละปีที่เติบโตขึ้นของ ‘เฌอปราง อารีย์กุล’ จากซีรีส์ ‘9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ’ ผู้ขอบคุณอาชีพนักแสดงที่ทำให้กล้าจะรู้สึกแย่ และยอมรับความต่างของมนุษย์
- คุยกับ นรีลักษณ์ แพไชยภูมิ จาก กระทรวงยุติธรรม ถึงสิทธิมนุษยชนที่ผู้หญิงข้ามเพศควรได้รับ แม้ต้องโทษจำคุก
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com