รัฐบาลชิงจังหวะดึงความเชื่อมั่น 31 บิ๊กธุรกิจ 5 แสนล้าน ลงทุนไทย
วันนี้ (6 สิงหาคม 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการหารือระหว่างผู้นำรัฐบาลกับผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มบริษัทชั้นนำของโลกที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศไทย ในงาน “Prime Minister Meets Investors: Confidence in Thailand’s Future - Prime Minister’s Dialogue with Global Investors”
โดยมีผู้บริหารเป็น 30 บริษัทชั้นนำระดับโลก เข้าร่วมจาก 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น บริษัท Sony Samsung Unimicron BYD Huyndai Google TikTok และ Nestlé
ทุกบริษัทมีการลงทุน รวมถึงการขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5.5 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานรวมกว่า 53,000 ตำแหน่ง
สำหรับการหารือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของภาคเอกชนต่อศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย พร้อมยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชนในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
ยันไทยพร้อมสร้างบรรยากาศลงทุนดี
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไทยพร้อมรับมือความไม่แน่นอนจากอัตราภาษีสหรัฐฯ โดยสถานการณ์ล่าสุดจากการที่สหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ โดยประเทศไทยถูกเรียกเก็บในอัตรา 19%
รัฐบาลไทย ตระหนักถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและกติกาการค้าระหว่างประเทศ และมุ่งใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงกลไกต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และสามารถลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ
นายภูมิธรรม ระบุว่า รัฐบาลมีความจริงใจและตั้งใจอย่างแน่วแน่ในการรักษาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของทุกบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
นอกจากนี้ ไทยจะเดินหน้าพัฒนากฎระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ พัฒนาทักษะแรงงาน เตรียมความพร้อมด้านพลังงานสะอาด และเร่งเจรจาเปิดตลาดการค้ากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ประเทศไทยมีความตกลงทางการค้า 17 ฉบับ กับ 24 ประเทศ และอยู่ระหว่างการเจรจาเพิ่มเติมกับอีกหลายประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความได้เปรียบให้กับผู้ประกอบการไทยในการส่งออกไปยังกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
ดันพลังงานสะอาด เปิด UGT1- Direct PPA
รักษาการนายกฯ กล่าวถึงการเดินหน้ากลไกพลังงานสะอาด รองรับแนวทาง ESG โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแนวทาง ESG โดยได้เปิดให้บริการกลไก Utility Green Tariff (UGT1) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดพร้อมเอกสารรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน มีบริษัทสนใจยื่นขอใช้บริการแล้วกว่า 40 ราย และมีแผนเปิดตัว UGT2 ซึ่งสามารถระบุแหล่งพลังงานที่มาได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ รัฐบาลยังอยู่ระหว่างเตรียมเปิดกลไก Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) ที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถทำสัญญาซื้อพลังงานสะอาดโดยตรงจากผู้ผลิตผ่านสายส่งของรัฐ โดยในระยะแรกจะให้บริการกับกลุ่มธุรกิจ Data Center จำนวน 2,000 เมกะวัตต์
หากประสบผลสำเร็จ จะขยายไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ต่อไปโดยกลไกพลังงานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการปรับแผน เพื่อเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดจาก 26% เป็น 51% ภายในปี 2580
ที่สำคัญ รัฐบาลจะเร่งพัฒนาบุคลากรไทยให้มีทักษะตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ดำเนินโครงการที่เน้นความร่วมมือกับภาคเอกชน
ตัวอย่างเช่น โครงการ Sandbox เพื่อผลิตกำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ที่มหาวิทยาลัย 15 แห่งร่วมมือกับภาคเอกชน 8 ราย เปิดหลักสูตรใหม่ 5 หลักสูตร พร้อมจัดตั้งศูนย์พัฒนากำลังคนเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติอีก 3 แห่ง โดยตั้งเป้าผลิตบุคลากรกว่า 80,000 คน ภายใน 5 ปี นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและดิจิทัลควบคู่กันไป
จังหวะสำคัญดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนในไทย
ด้าน นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าว่า หลังจากทีมไทยแลนด์ประสบความสำเร็จขั้นแรกจากการเจรจาภาษีสหรัฐฯ จึงอาศัยจังหวะนี้ในการชิงโอกาสเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และเชิญชวนนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายมีการลงทุนต่อเนื่องในประเทศไทย การลงทุนของกลุ่มบริษัทเหล่านี้ไม่ได้มีแค่โรงงานผลิต แต่เชิญชวนเหล่านี้ตั้งฐานศูนย์วิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาบุคลากร และใช้ประเทศไทยเป็นสำนักงานภูมิภาคด้วย
ดึงบิ๊กธุรกิจ MOU พัฒนาแรงงาน 3,000 อัตรา
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายหลังการหารือกับนักลงทุนทั้ง 30 บริษัท รองนายกฯ ภูมิธรรม ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และผู้ผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ชั้นนำระดับโลก 6 ราย ซึ่งมีเงินลงทุนรวมกว่า 51,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษาให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรม
โดยความร่วมมือนี้จะก่อให้เกิดการจ้างงานทันที 1,880 อัตรา รวมกันไม่น้อยกว่า 3,000 อัตราภายใน 5 ปี เกิดการพัฒนาหลักสูตรร่วมกันระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาและภาคอุตสาหกรรม
ความร่วมมือนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศแล้ว ยังเกิดการยกระดับการพัฒนาบุคลากรไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนระดับอาชีวศึกษา พร้อมยกระดับทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
“การลงทุนจากบริษัทระดับโลกเหล่านี้ จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโต สร้างรายได้หมุนเวียนภายในประเทศหลายแสนล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังช่วยต่อยอดไปยังภาคเกษตรกรรม การศึกษา และธุรกิจท้องถิ่นในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม” นายอนุกูล กล่าว