การแต่งงานครั้งที่ 2 คุณหญิงจำนงศรีและดร.ชิงชัย : ไม่เคยทะเลาะกันเลย
แม้คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ (ป้าศรี)ผู้ก่อตั้งและประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ บริษัทชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด จะเล่าเรื่องราวความรักครั้งที่ 2 (วัย 57)ของเธอและดร.ชิงชัย(เจเจ-วัย 55) ไว้ในเฟซบุ๊กโต๊ะป้าศรี CH Table หลายตอน ก็ไม่เหมือนเล่าสดๆ ให้คนกว่าสองร้อยฟัง มีทั้งเสียงฮา เสียงหัวเราะ และเสียงเพลง รวมถึงสีหน้าคนเล่า
ครั้งนี้ ธนา เธียรอัจฉริยะ มาชวนเปิดบทสนทนา วิชาชีวิต ปิดห้องเรียน : เต้นรำกับชีวิตและความตาย ที่หอศิลป์กรุงเทพฯ โดยวันนั้นป้าศรีใส่กางเกงยีนส์ที่ปักลายด้วยตัวเอง และคู่ชีวิตทั้งสองเต้นรำด้วยกันในกิจกรรมสุดท้าย
"ตอนผมทำงานในต่างประเทศ ภรรยาคนแรกของผมป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่นาน ผมกลับมาเมืองไทย เธออยู่โรงพยาบาล 5-6 เดือน ก็หมดลมหายใจ…" ดร.ชิงชัย เล่าถึงช่วงวัย 55 ก่อนแต่งงานใหม่อีกครั้ง เขาเคยเรียนและทำงานในต่างประเทศหลายสิบปี ปัจจุบันยังทำงานเพื่อสังคม
คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ (ป้าศรี)ผู้ก่อตั้งชีวามิตร ,ดร.ชิงชัย และธนา เธียรอัจฉริยะ
"ตอนที่เจอกัน ป้าศรีกำลังหาทุนให้มูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กผู้หญิงในจ.เชียงราย ตอนนั้นบนดอยปลูกผักเยอะ ก็อยากให้เด็กๆ ทำผักอบแห้งขาย น้องชายป้าศรีแนะนำให้ปรึกษาขอเงินทุนจากดร.ชิงชัย ตอนนั้นเขาทำงานเป็นรองประธานกรรมการ บริษัทล็อกซเลย์
และบริหารเงินทุนเพื่อการพัฒนาองค์กรระหว่างประเทศด้วย เขาให้ทุนช่วยเหลือโครงการมา 3 แสนบาท"
- ตัดสินใจแต่งงานครั้งที่ 2
เมื่อได้รู้จักและพูดคุยกับคุณหญิงจำนงศรี ดร.ชิงชัย เล่าว่า ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจ ก่อนจะให้ทุนเพื่อทำงานพัฒนาบนดอย เขาจึงอาสาเขียนโครงการให้ เพราะเธอเขียนไม่เป็น
(ส่วนหนึ่งของกิจกรรมชีวามิตร)
ส่วนป้าศรี เจอดร.ชิงชัย ตอนอายุ 57 ปี ช่วงนั้นภรรยาเขาเสียชีวิตแล้ว เขายังเป็นเพลย์บอยมีผู้หญิงหลายชาติชอบ ทั้งแม่ม่ายและสาวๆ วัย 40 กว่าๆ
"เมื่อป้าศรีได้เงินทุนมา เขาไม่เข้าใจว่าเราทำงานยังไง จึงพาไปดูที่อ.แม่สาย จ.เชียงราย ดูวิธีการสอนเด็กผู้หญิงในการคิดและมองโลก และพาไปรู้จักชุมชนเด็กผู้หญิงชาวเขา ทำทุกอย่างที่เด็กๆทำ เราให้เด็กๆ วาดรูปหน้ากากสัตว์ที่เขาเกลียดที่สุด เพื่อสลายความขัดแย้งในใจ ตอนนั้นไม่รู้ว่าลุงเจเจวาดรูปสัตว์อะไร และให้เด็กๆ เต้นรำด้วยจิตวิญญาณของสัตว์นั้น แล้วถามเด็กๆ ว่ารู้สึกยังไง… " ป้าศรี เล่า
เมื่อธนา ถามดร.ชิงชัย ว่ารู้สึกชอบป้าศรีตอนไหน
เขาบอกว่า ถ้าแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้เท่ากับแต่งงานกับผู้หญิง 5 คน เป็นทั้งกวี ,นักวิจารณ์ ,นักสลายความขัดแย้ง,นักสังคมสงเคราะห์ และคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
ป้าศรี ยอมรับว่า เขาเป็นคนใจดี มีความคิดแบบฝรั่ง และที่ขำสุดๆ คือ เวลาเดินกับผู้หญิงคนไหนชอบโอบเอว พอมาเป็นแฟนกัน ก็บอกเขาไปว่า ทำแบบนั้นระวังโดนคดี Harassment (หัวเราะ)
"เมื่อชอบกันจริงๆ ป้าศรีขอเขาแต่งงานทางอีเมล ลุงเจเจตอบตกลง เพื่อนๆ รู้ว่าจะแต่งงาน แต่ไม่รู้ว่าแต่งกับใคร ป้าศรีอายุมากกว่าเขา ญาติก็เลยถามว่า แน่ใจแล้วหรือ
มีลูกสาวคนเล็กคนเดียวรู้จักเขา เพราะเคยทำงานล็อกซเลย์ด้วยกัน ส่วนลูกคนอื่นๆ ไม่รู้จักลุงเจเจ ก็เลยสงสัยว่า แม่จะโดนหลอก ลูกคนเล็กบอกว่า ถ้าแม่จะแต่งงาน อาชิงชัยดีที่สุดเพราะใจดีมาก จากนั้นเราพาครอบครัวทั้งหมดไปเที่ยวสมุย เพื่อรู้จักกัน (เหมือนดูตัวลุงเจเจ)ตอนนั้นเราเป็นม่ายมา 5 ปี คนที่ปฏิบัติธรรมด้วย ก็สงสัยเรื่องแต่งงานใหม่"
(สีสันบนกางเกงยีนส์ที่คุณหญิงจำนงศรีปักเอง)
ชีวิตคู่…ไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
เมื่อคุณหญิงจำนงศรีที่มาจากตระกูลร่ำรวยตกลงปลงใจแต่งงานครั้งที่ 2 กับดร.ชิงชัย ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนไม่รู้จักเขาจะมองในแง่ลบบ้าง แม้จะทำงานองค์กรระหว่างประเทศ แต่ไม่ได้ร่ำรวย
“ตอนผมทำงานที่สิงคโปร์ ผมก็มีเงินเก็บพอสมควร คนข้างนอกไม่รู้ พอแต่งงาน ผมก็จ่ายให้ทั้งนั้น ซึ่งการแต่งงานในวัย 50 กว่าๆ เราผ่านโลกมาเยอะ ทำงานมาหลายแบบ ทั้งรับราชการและองค์กรระหว่างประเทศ เราสองคนอาจได้เปรียบคนอื่น เข้าใจทั้งทางโลกและทางธรรม ผมเองก็ได้เรียนธรรมะกับจำนงศรีทุกคืน ก็ซึมซับ”
ป้าศรี เล่าต่อว่า ถ้าเป็นช่วงวัยสาว ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็เคร่งเครียดไปหมด คาดหวังเยอะ ระวังตัว กลัวว่าคนนั้นคนนี้จะว่ายังไง พอเรามาเจอกันตอนแก่ๆ ก็ใช้คำว่า ช่างหัวมัน อะไรก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจกันเยอะ
ชีวิตแต่งงานจะราบรื่นได้ ดร.ชิงชัย แนะไว้ 3 เรื่อง คือ 1. ห้ามนำเรื่องในครอบครัวแต่ละฝ่ายมาเล่า 2. ถ้ามีปัญหาสำคัญต้องคุยกันให้เข้าใจ ไม่มาระเบิดอารมณ์ภายหลัง 3. เรียนรู้นิสัยไม่ดีแต่ละฝ่าย แล้วพยายามเข้าใจ
"อย่างศรีเป็นนักเรียนอังกฤษไม่เคยตรงต่อเวลา ส่วนผมเวลานัดหมายกับใคร จะไปก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง"
ป้าศรี เล่าต่อว่า ตอนไปดินเนอร์กับท่านทูตสวิสฯ ลุงเจเจต้องไปก่อนเวลา 10-15 นาที
"เราก็คิดว่า ถ้าเราเป็นเจ้าภาพ แขกรับเชิญมาก่อนเวลา เจ้าภาพอาจยังไม่พร้อม ตอนนั้นเราต้องจอดรถรอใต้ต้นก้ามปู 15 นาที จนกว่าจะถึงเวลานัดหมาย”
ไลฟสไตล์ที่ต่างกันกลายเป็นความลงตัว และทั้งสองเชื่อว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ดร.ชิงชัย ชอบเข้านอนเวลาสามทุ่ม ตื่นประมาณตี 4-5 แล้วออกไปนั่งคุยกับเพื่อนๆ แก๊งโปโลริมสระและสนามเทนนิส ส่วนป้าศรีชอบนอนดึก ตื่นประมาณ 9-10 โมง ให้เวลากับการฝึกสมาธิ และกิจกรรมที่ชอบ กว่าจะออกมาใช้ชีวิตเกือบเที่ยง
ดร.ชิงชัย เล่าว่า เมื่อแต่งงานแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง ถ้าอยู่ใกล้กันตลอดเวลาอาจเบื่อ ควรมีช่วงเวลาที่ห่างกัน จะทำให้คิดถึงซึ่งกันและกัน
- เถียงกัน ไม่เคยทะเลาะกัน
เมื่อธนาถามว่า เคยทะเลาะกันไหม ป้าศรี บอกว่า เถียงกันเสมอ เพราะคนละแนว ยกตัวอย่างเวลามองเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เขาจะมองป่าทั้งป่า แต่เรามองต้นไม้ทีละต้น
“เถียงกันสนุก ลับสมอง เป็นการเถียงเรื่องความคิด ไม่ทะเลาะกันเลย ถ้าคนเราทะเลาะกันจะมีคำว่าฉันและเธอ เราไม่มีแบบนั้น อย่างป้าศรีชอบเรียน ตอนนี้เข้าคอร์สเรียนออนไลน์เรื่องระบบประสาทในสมอง ตอนเราขาหัก คุณหมอผ่าตัดเล่าว่า คนไข้ทั่วไป เวลาฟื้นจากการวางยาสลบจะไม่รู้สึกตัว แต่ป้าศรีถามว่า การรับรู้ของป้าหายไปไหน ทั้งห้องผ่าตัดงง แต่เราจำไม่ได้ ปกติป้ามีความสนใจทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์และธรรมะ”
("พอเรามาเจอกันตอนแก่ๆ ก็ใช้คำว่า ช่างหัวมัน อะไรก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจกันเยอะ" )-คุณหญิงจำนงศรี
ดร.ชิงชัย เล่าต่อว่า ปัจจุบันอายุเกือบ 84 ปี คงไม่อยู่ถึง 100 ปี นี่เป็นห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ต้องทำให้ดีที่สุด ก่อนหน้านี้เคยวูบ สโตรกขับรถชนที่จอดรถ
"โชคดีที่อยู่มา 84 ปี ยังเดินต่อได้ ถ้าพูดถึงเรื่องความตาย เคยฟังพระไพศาลคุยเรื่องความตาย และการดูแลแบบประคับประคอง ก็กลัว แต่ยอมรับได้ ผมคงจากไปก่อน คนทางธรรม(ป้าศรี)โลกคงเอาไว้ก่อน แต่เราเป็นพวกไฮบริด"
เมื่อพูดถึงความตายและการเจ็บป่วย ป้าศรีเล่าว่า ตอนดร.ชิงชัยสโตรก ก็รู้สึกเสียศูนย์เหมือนกัน โชคดีที่ไปโรงพยาบาลทันและปลอดภัย ตอนนั้นหมอบอกว่า หลังจากนี้บุคลิกภาพอาจเปลี่ยน จากเคยอ่อนโยนใจดีอาจดุร้าย หมอพูดจนรู้สึกใจเสีย แต่พฤติกรรมเขาไม่เปลี่ยนเพราะสมองไม่กระทบกระเทือนมาก วิธีคิดและอารมณ์พื้นฐานดีอยู่
ในวัย 80 กว่าๆ ทั้งสองเลือกที่จะหัวเราะ สนุกกับชีวิต ทำงานเพื่อช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ทำได้ เดินทางท่องเที่ยวในบางครั้ง และพบปะมิตรสหายที่รักใคร่
…………
ภาพ : เฟซบุ๊กชีวมิตร Cheevamitr Social Enterprise