ตรวจสุขภาพต่างด้าว อนุญาต 'รพ.เอกชน’ 41 แห่ง ห้ามคลินิกเด็ดขาด
คนต่างด้าว ซึ่งมีสัญชาติเมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม หรือสัญชาติอื่นตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) กําหนดเพิ่มเติมที่จะขอรับใบอนุญาตทํางานในราชอาณาจักรไทย หรือประสงค์จะต่ออายุใบอนุญาตทํางานในราชอาณาจักรนั้น
ตามมติครม. เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 เห็นชอบ เรื่อง การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2567 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอการกําหนดให้คนต่างด้าว ต้องตรวจโรค ต้องห้ามตามกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคุณสมบัติและลักษณะ ต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทํางานกับสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชนทุกแห่งที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล
ทั้งนี้ สถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน ที่จะให้บริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวนั้น ต้องมีการขึ้นทะเบียนเป็นสถานพยาบาลที่มีรายชื่อ ตามหลักเกณฑ์ของสถานพยาบาลเอกชนที่จะตรวจสุขภาพต่างด้าว ตามประกาศกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 75 แห่ง
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2567 ที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง มาตรฐานการให้บริการตรวจสุขภาพคนต่างด้าว พ.ศ.2567 และแนวทางการขออนุญาตเพิ่มบริการตรวจสุขภาพคนต่างด้าว มีผลบังคับใช้นั้น สถานพยาบาลเอกชนที่จะให้บริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวได้ จะต้องขออนุญาตเพิ่มบริการตรวจสุขภาพคนต่างด้าว กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพก่อน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ราว 41 แห่ง
เท่ากับว่า สถานพยาบาลเอกชนที่จะให้บริการตรวจสุขภาพคนต่างด้าวได้นั้น ต้องได้รับอนุญาตเพิ่มบริการตรวจสุขภาพคนต่างด้าวกับกรมสบส.หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)ในพื้นที่และต้องขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน
หากขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานที่เดียว ไม่ผ่านสบส.หรือสสจ. แล้วไปให้บริการตรวจสุขภาพคนต่างด้าว ถือว่ามีความผิดตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 35 (4) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ห้ามคลินิกตรวจสุขภาพต่างด้าว
นายชัยชนะ เดชเดโช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การตรวจคัดกรองสุขภาพแรงงานต่างด้าว เป็นขั้นตอนสำคัญในการคุ้มครองความมั่นคงด้านสุขภาพของประชาชน การที่สถานพยาบาลขาดการควบคุมมาตรฐาน หรือออกเอกสารใบรับรองแพทย์เท็จจะก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของโรคติดต่ออันตราย ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน ไปจนถึงเศรษฐกิจของประเทศ
“ขอให้ผู้ประกอบกิจการทุกท่าน ยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ อย่าเห็นแก่ทรัพย์สินจนถึงขั้นเอาสุขภาพของคนส่วนมากมาเสี่ยง” นายชัยชนะ กล่าว
ขณะที่ ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กล่าวว่า สถานพยาบาลเอกชนที่จะดำเนินการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว จะต้องมาขึ้นทะเบียนกับ สบส.หรือสสจ.ในพื้นที่ก่อน แม้ว่าโรงพยาบาลเอกชนแห่งจะมีการขึ้นทะเบียนเป็นสถานพยาบาลอยู่แล้ว แต่ถ้าจะรับเป็นสถานพยาบาลตรวจสุขภาพคนต่างด้าวจะต้องมาขึ้นทะเบียนเพิ่มเติมในเรื่องนี้ด้วย จึงจะสามารถตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว และออกใบรับรองแพทย์ได้ ส่วนคลินิกนั้น ย้ำว่าทำไม่ได้เด็ดขาด อนุญาตให้เฉพาะโรงพยาบาลเท่านั้น
“การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว นับตั้งแต่วันที่ประกาศสธ.เรื่องนี้ออกมา รพ.เอกชนจะอ้างว่าขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานแล้ว ไม่มาขึ้นทะเบียนกับสบส.หรือสสจ.ไม่ได้ เพราะของสบส.เป็นกฎหมายเฉพาะเพื่อให้มีการกำกับ ควบคุม ส่วนกฎหมายอื่น ไม่ใช่กฎหมายเฉพาะ หากไม่มีกฎหมายเฉพาะกล่าวไว้ ค่อยไปทำตามกฎหมายนั้น”ทพ.อาคมกล่าว
41 รพ.เอกชน ได้รับอนุญาตตรวจสุขภาพต่างด้าว
ปัจจุบันมีสถานพยาบาลเอกชนที่ได้รับอนุญาตให้ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวทั่วประเทศ ทั้งสิ้น 41 แห่ง แบ่งเป็นในเขตกรุงเทพมหานคร 17 แห่ง ส่วนภูมิภาค 24 แห่ง และอยู่ระหว่างการขออนุญาตอีก 9 แห่ง
“คลินิกนั้น ในตอนนี้สบส. ยังไม่เปิดอนุญาตให้ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ดังนั้นคลินิกหลายแห่งที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานอยู่ ถือว่าผิดกฎหมาย โดย กรมสบส. จะมีการเข้าไปตรวจสอบโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนเหล่านี้ทั้งหมด เพราะประกาศสธ.คลอดแล้วตั้งแต่ปี 2567 บังคับใช้มาจะ 1 ปีแล้ว ถ้ายังไม่ได้ขึ้นทะเบียนก็ขอให้รีบดำเนินการ”ทพ.อาคมกล่าว
มาตรฐานเพิ่มเติม ในการตรวจสุขภาพต่างด้าว
สถานพยาบาลที่จะตรวจสุขภาพของคนต่างด้าวได้ จะมีมาตรฐานเพิ่มเติมจากสถานพยาบาลเอกชนอื่นๆ ตรงที่มีการเพิ่มเรื่องการยืนยันอัตลักษณ์บุคคล มีการสแกนม่านตาตามแนวทางที่สภากาชาดกำหนดไว้ ต้องมีห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ (แลป) ที่ได้มาตรฐาน เพราะต้องมีการตรวจโรคที่เป็นอันตราย โรคติดต่อต่างๆ เช่น โรคเรื้อน โรคเท่าช้าง ซิฟิลิส วัณโรค เป็นต้น ซึ่งต้องใช้ห้องแลปที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และต้องใช้ห้องเอ็กซเรย์ที่ได้มาตรฐาน
“รพ.เอกชนที่จะตรวจสุขภาพคนต่างด้าวจะมีความแตกต่างจากการตรวจคนไทยปกติ ซึ่งจะไม่ได้ตรวจโรคดังกล่าว คนไทยตรวจใบรับรองแพทย์ตามปกติ แต่ในส่วนของแรงงานต่างด้าวที่ต้องตรวจเพิ่มมากเพราะกังวลว่าจะมีโรคที่พบในประเทศนั้นๆ ข้ามมายังประเทศไทย”ทพ.อาคมกล่าว
ทพ.อาคม กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้าไม่เคยอนุญาตให้โรงพยาบาลเอกชนทำการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวเลย จะให้ดำเนินการได้เฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น ต่อมาในปี 2567 ถึงมีการปลดล็อคให้โรงพยาบาลเอกชนตรวจแรงงานต่างด้าวได้ ตามมติคณะรัฐมนตรี เนื่องจากมีปัญหาว่า แรงงานกว่า 2 ล้านคนนั้น ภาครัฐตรวจไม่ไหว จึงเป็นที่มาให้มาออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 ตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล ให้มาขอเพิ่มบริการ