ถอดรหัส “แผนลวง” มิจฉาชีพ คนไทยสูญเงิน 2,800 ล้านในเดือนเดียว เปิดวิธีรู้ทันและรับมือกับกลโกง
เงินที่เก็บออมมาได้ ไม่ว่าจะหลักพัน หลักหมื่นหรือหลักล้านล้วนเป็นเงินก้อนสำคัญ หรือเป็นความหวังที่จะสร้างอนาคตของใครหลายคน
แต่เงินก้อนเดียวกันนี้ยังเป็นเป้าหมายของเหล่ามิจฉาชีพที่ตั้งใจและพร้อมจะฉกไปจากเราทุกเมื่อ หากเราตามเล่ห์เหลี่ยมหรือกลโกงของมิจฉาชีพไม่ทันก็เสี่ยงที่จะเสียเงินที่แสนสำคัญเหล่านั้นไป จนหมดตัวได้
มิจฉาชีพยังระบาด 1 เดือนสูญเงินกว่า 2.8 พันล้าน
ทุกวันนี้แม้หลายคนจะได้รับสายจากมิจฉาชีพน้อยบ้าง อาจเพราะมิจฉาชีพทำงานได้ยากขึ้น รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ ออกมาตรการสกัด - จัดการบัญชีม้า มาตลอด แต่ล่าสุดยังมีความเสียหายจากมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง เฉพาะเดือนมิถุนายน 2568 พบว่ามีจำนวนผู้เสียหายฯ ราว 24,500 เคส และคิดเป็นมูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วต้องเสียเงิน 114,000 บาทต่อเคส ซึ่งสำหรับหลายคนเงินก้อนนี้อาจหมายถึงเงินเก็บทั้งชีวิตของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
ยิ่งถ้าเจาะลึกลงไปจะพบว่า “อายุ” อาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อกรณีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ โดยมีกลุ่มเสี่ยงหลักได้แก่
1) กลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ย 416,453 บาท/เคส
2) กลุ่มเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี) ที่มีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ย 78,468 บาท/เคส
ทั้ง 2 กลุ่มนี้ถือว่ามีมูลค่าความเสียหายจากมิจฉาชีพเฉลี่ยแล้วสูงกว่า กลุ่มผู้ใหญ่วัยทำงาน (อายุ 26-30 ปี) ที่อยู่ราว 72,908 บาท/เคส
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เราคงเห็นภาพกันมากขึ้นว่า ในไทยมีผู้เสียหายจากมิจฉาชีพหลอกลวงมีแค่ไหน นี่ยังไม่นับประชากรไทยที่ต้องมารับสายแล้ว ลุ้นว่าปลายสายคือมิจฉาชีพหรือคนที่ต้องการติดต่อกับเราจริงๆ
รู้ทัน 3 กลโกงที่พบได้บ่อย
แม้โลกเราจะง่ายขึ้นเพราะมี โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตช่วยให้การติดต่อสื่อสารง่ายขึ้น แต่ทุกวันนี้ก็อาจง่ายต่อมิจฉาชีพที่จะเข้าถึงเราด้วย ดังนั้นเพื่อป้องกันกลลวงต่างๆ จากมิจฉาชีพ ก่อนอื่นเราต้องเริ่มจากการรู้จัก 3 กลโกงเม็ดที่พบได้บ่อย ๆ คือ
1. หลอกให้รัก แล้วชวนเปย์
ในโลกที่การสื่อสารเชื่อมถึงกัน จะมีรักออนไลน์ไม่ควรเป็นเรื่องยาก แต่นี่กลายเป็นอีกเทคนิคที่มิจฉาชีพเลือกใช้ เช่น พี่มิจฯ จะตั้งโปรไฟล์ให้ดูดี เข้ามาพูดคุยและสานสัมพันธ์กับเรา
เมื่อเราหลงเชื่อและให้ใจไปอย่างเต็มที่ก็จะค่อย ๆ เพิ่มระดับการหลอกด้วยการอ้างว่า
- เจอเรื่องเดือดร้อนทางการเงิน เช่น พ่อแม่ป่วย, สัตว์เลี้ยงไม่สบาย หรือต้องใช้เงินด่วนและจำเป็นมากเพื่อให้เรารู้สึกเป็นห่วงจนต้องโอนเงินไปให้ และล่อหลอกให้โอนเงินก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
- หลอกว่ารวยล้นฟ้า แต่เอาเงินออกมาใช้ไม่ได้ ขอยืมเงินเราไปใช้ก่อน หรือเคสหลังตีสนิทแล้วมักอ้างว่า มีมรดกอยู่แต่ติดเรื่องภาษีเลยนำเงินออกมาใช้ไม่ได้ ถ้าเราให้เงินเขาก่อน เมื่อเคลียร์ปัญหาจบจะแบ่งมรดกก้อนใหญ่นั้นให้
หากใครกำลังเจอแบบนี้ให้ลองสังเกตสักพักและค่อย ๆ ปลีกตัวออกมาเพราะบางทีเราอาจถูกหลอกจนหมดตัว หรืออาจใจพังเพราะหลงรักโจร
2. อยากซื้อสินค้าของคุณล็อตใหญ่… แอดไลน์มาสิ
แม้เราเป็นคนค้าขายของในโลกออนไลน์ มิจฉาชีพยังมาตามรังควาน โดยอาจทักมาในระบบข้อความของร้านว่า “อยากซื้อสินค้าจำนวนมาก ขอให้แอดไลน์มาที่ xxx” หลายคนเผลอกดแอดไลน์เพราะเชื่อใจว่าเป็นลูกค้าจริงๆ
แต่เมื่อกดไปแล้ว กลับถูกชักชวนเข้ากลุ่มไลน์ที่มีคนจำนวนมาก ต้องจ่ายเงินสมัคร และต้องทำ “ภารกิจ” เพื่อให้ได้เงิน/กำไรคืน
ตัวอย่างภารกิจเช่น “โอนเงินเข้าระบบ” กดเข้าระบบซื้อสินค้าและกดขายให้กับลูกค้าที่แจ้งเข้ามา จากนั้นจึงกดรับเงินส่วนต่างคืน ช่วงแรกๆ ยอดเงินอาจเป็นเพียงหลักร้อยบาท แต่มีผู้เสียหายหลายคนที่หลงเชื่อและจ่ายเงินหลักแสนบาทไปกับภารกิจเหล่านี้
ถ้ายอดเงินนั้นได้มาง่ายๆ หรืออ้างว่าจะให้ผลตอบแทนที่ได้สูงเกินความเป็นจริง นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนให้เรา ออกจากการหลอกลวงนั้นให้ไวที่สุด
3. ปลอมเป็น "เจ้าหน้าที่รัฐ"
อีกหนึ่งในวิธีหลอกลวงที่พบได้บ่อย ๆ คือการปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐฯ เช่น ตำรวจ เพื่อโทรหาหรือส่งข้อความมาข่มขู่ว่าเรามีคดีติดตัว อาทิ มีคนเอาชื่อเราไปปลอมเป็นบัญชีม้า, ค้างจ่ายภาษี หรือมีหมายศาลเรียกตัว หากอยากรีบจบคดีให้โอนเงินมาเพื่อตรวจสอบหรือปิดคดี ไม่งั้นอาจถูกจับกุม
อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตในการจับโกหกของมิจฉาชีพ คือ จะพยายามเร่งให้เราโอนเงินเพื่อจบทุกอย่าง หรือ ให้ตอบแทนที่สูงจนดูผิดปกติ ดังนั้นเราจึงควรระวังว่านี่อาจเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ และตรวจสอบให้ดีก่อนโอนเงินเพื่อป้องกันการถูกหลอก
ถ้าถูกหลอกให้เป็นเหยื่อแล้วต้องทำยังไงต่อ?
ในขณะเดียวกัน การถูกหลอกให้ตกเป็นเหยื่อไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างไร สิ่งที่ควรทำคือเร่งหาทางแก้ไขและรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น นี่คือ 5 วิธีที่สามารถทำได้เมื่อตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ (ข้อมูลจากตำรวจสอบสวนกลาง)ได้แก่
1. ติดต่อธนาคาร “เจ้าของบัญชีที่เราโอนเงินไป” เพื่อแจ้งว่าถูกโกง
2. ธนาคารออกหมายเลข Bank Case ID เพื่อให้เราใช้ในการแจ้งความ และจะประสานงานเพื่ออายัดบัญชีปลายทางทันทีภายใน 72 ชั่วโมง
3. รวบรวมหลักฐานการถูกหลอกไปแจ้งความ เช่น สลิปการโอนเงิน ข้อมูลบัญชีปลายทาง บันทึกภาพหน้าจอในการพูดคุยกับมิจฉาชีพ และนำไปแจ้งที่สถานีตำรวจในท้องที่ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th (ต่อให้แจ้งความออนไลน์แล้วยังต้องไปที่สถานีตำรวจเสมอ)
4. พนักงานสอบสวน รับพิจารณาคำร้องทุกข์ และออกเอกสารที่เกี่ยวข้องให้เรา นอกจากนี้อาจมีการเรียกมาสอบคำเพิ่มเติม รูปแบบและขั้นตอนอาจขึ้นอยู่เจ้าหน้าที่/สน. ที่ไปแจ้งความ
5. ผู้เสียหายนำเอกสารจากตำรวจไปติดต่อที่ธนาคารปลายทาง เพื่อดำเนินการต่อ เช่น อายัดบัญชีต่อเนื่องในช่วงหลังจาก 72 ชั่วโมงแรกที่อายัดไว้แล้ว, จัดการ/ตรวจสอบบัญชีม้า เป็นต้น
สุดท้ายนี้ ภัยที่มาจากมิจฉาชีพนั้นอาจเกิดขึ้นกับเราหรือคนรอบตัวเราได้เสมอ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ทัน ระมัดระวัง และตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อนโอน เพื่อป้องกันการสูญเสียเงินที่มีค่าของเราไป
ที่มา: สภาพัฒน์, ธนาคารกรุงศรี, ตำรวจสอบสวนกลาง
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ “การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ถอดรหัส “แผนลวง” มิจฉาชีพ คนไทยสูญเงิน 2,800 ล้านในเดือนเดียว เปิดวิธีรู้ทันและรับมือกับกลโกง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พ่อพาลูก ม.5 แจ้งความแก๊งคอลฯ หลอกโอนเงิน-วิดีโอคอลทั้งคืน ขู่ยึดทรัพย์ครอบครัว
- เริ่มแล้ว ซื้อซิมใหม่ ต้องสแกนใบหน้า กฎใหม่ป้องกันมิจฉาชีพ
- มิตรจริง หรือ มิจจี้ รู้ 5 ข้อนี้ ไม่โดนหลอกโอน ฟีเจอร์ใหม่ช่วยจัดการมิจฉาชีพ
- ถอดรหัส “แผนลวง” มิจฉาชีพ คนไทยสูญเงิน 2,800 ล้านในเดือนเดียว เปิดวิธีรู้ทันและรับมือกับกลโกง
- วิธีสังเกตเพจและเว็บไซต์ปลอมที่แอบอ้างชื่อเพจทางการทหาร
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath