แรงสั่นสะเทือน "ดุสิตธานี" โยงศึกสายเลือดครอบครัว "โทณวณิก" สู่เดิมพัน Take Over
บรรยากาศธุรกิจโรงแรมไทยร้อนระอุอีกครั้ง หลังเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT มีมติถอดถอน นายชนินทธ์ โทณวณิก ออกจากตำแหน่งรักษาการประธานกรรมการ ท่ามกลางข่าวลือกระหึ่มเรื่องความพยายาม Take Over จาก “กลุ่มทุนใหญ่” ที่เกี่ยวพันกับตระกูลผู้ถือหุ้น
เช้าวันที่ 27 สิงหาคม นายชนินทธ์ ออกแถลงการณ์ด่วน ชี้แจงต่อสาธารณะถึง “ความจริงเบื้องหลัง” การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ พร้อมเตือนว่า การเคลื่อนไหวนี้อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นรายย่อย พันธมิตรธุรกิจ และโครงการมูลค่าหลายหมื่นล้านที่กำลังจะสร้างรายได้ใหม่ให้ดุสิตธานี
-จุดเริ่มต้น “ศึกสายเลือด”
ชนวนความขัดแย้งไม่ได้เริ่มที่การประชุมผู้ถือหุ้นหรือการไม่อนุมัติงบการเงินปี 2567 หากแต่ย้อนไปถึงการเสียชีวิตของ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งและเสาหลักของธุรกิจ เมื่อโครงสร้างการลงนามร่วมของบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน DUSIT ถูกปรับเปลี่ยนให้ นายชนินทธ์ หมดอำนาจลงนามหลัก ก่อนถูกปลดจากกรรมการทั้งในบริษัทแม่และบริษัทในกองมรดก
นายชนินทธ์ ชี้ว่า ข้อตกลงเดิมที่เคยแบ่งมรดกเป็น 3 ส่วน เพื่อความเท่าเทียม ถูกน้อง ๆ ในตระกูลปฏิเสธภายหลัง โดยมีสัญญาณเชื่อมโยงกับความสำเร็จเกินคาดของโครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส ที่มียอดขายสูงกว่า 92% หลังโควิด ซึ่งทำให้หุ้นในดุสิตธานีกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามหาศาล
* เงามืด Take Over และเครือข่ายทุนใหญ่
ประเด็นที่สร้างแรงสั่นสะเทือนตลาด คือ การเสนอแต่งตั้งกรรมการใหม่หลายคนที่มี “ความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับกลุ่มเซ็นทรัล” ซึ่งเคยถือหุ้นใน DUSIT สูงสุดถึง 22.5% ในอดีต การเพิ่มจำนวนกรรมการจาก 12 เป็น 18 คน และการปรับอำนาจลงนาม อาจเปิดทางให้คนนอกครอบครัวมีสิทธิควบคุมกิจการได้ทันที
นายชนินทธ์ ระบุว่า นี่ไม่ใช่เพียงการถอดถอนตัวบุคคล แต่เป็น “การเปิดประตู” ให้กลุ่มทุนภายนอกครอบครองกิจการที่ครอบครัวโทณวณิกสร้างมากว่า 76 ปี ซึ่งอาจกระทบต่อโครงการยักษ์อย่าง ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มูลค่า 46,000 ล้านบาท และบั่นทอนความเชื่อมั่นจากลูกค้า นักลงทุน และผู้ถือหุ้นรายย่อย
* ผลประกอบการ – ขาดทุนแต่ไม่ล้มเหลว?
ข้อกล่าวหาว่า DUSIT ขาดทุนต่อเนื่อง ถูกนายชนินทธ์ โต้ว่า เกิดจากภาระดอกเบี้ยลงทุนโครงการใหญ่ ไม่ใช่ปัญหาด้านการดำเนินงาน โดยย้ำว่า โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพแห่งใหม่ได้รับการตอบรับดี โครงการเรสซิเดนเซสขายแล้วกว่า 92% และการทยอยโอนในปีหน้าจะสร้างรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ช่วยปลดภาระหนี้และผลักดันบริษัทกลับสู่กำไร
* เดิมพันของ “แบรนด์ไทย”
ในแถลงการณ์ นายชนินทธ์ ย้ำว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่การต่อสู้เพื่อเก้าอี้ แต่เป็นการปกป้องเจตนารมณ์ “Business with Honor” ของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ที่สร้างแบรนด์ไทยให้ยืนหยัดบนเวทีโลกมากว่า 7 ทศวรรษ พร้อมเตือนว่า หากปล่อยให้การ Take Over สำเร็จ ดุสิตธานีอาจสูญเสียเอกลักษณ์ และความเชื่อมั่นที่ลูกค้าและผู้ลงทุนทั่วโลกมีต่อแบรนด์
* วิเคราะห์ความเสี่ยง
ความเชื่อมั่นผู้ถือหุ้นรายย่อย – อาจสั่นคลอน หากเชื่อว่าผลประโยชน์ครอบครัวไม่ตรงกับผู้ลงทุน
พันธมิตรธุรกิจ – การเปลี่ยนแปลงอำนาจอาจกระทบโครงการร่วมทุน เช่น ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค
ภาพลักษณ์แบรนด์ – หาก “คนนอก” ควบคุม อาจกระทบเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่เป็นจุดขายสำคัญ
ตลาดทุน – ความไม่แน่นอนอาจกดดันราคาหุ้น DUSIT ในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม ศึกสายเลือดในตระกูลโทณวณิกครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงความขัดแย้งภายในครอบครัว แต่เป็นจุดเปลี่ยนชี้ชะตา “แบรนด์ไทยระดับโลก” อย่างดุสิตธานี ว่าจะยังคงอยู่ในมือทายาทผู้ก่อตั้ง หรือเปิดทางให้ทุนใหญ่เข้าครอบครอง การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 26 กันยายน 2568 จึงกลายเป็น “หมุดหมายสำคัญ” ที่ทุกสายตาในวงการธุรกิจและตลาดทุนไทยจับตาอย่างใกล้ชิด