“แรงงานสหรัฐ” เริ่มอ่อนแรง จำนวนผู้ว่างงานยื่นขอสิทธิสวัสดิการซ้ำ พุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี
จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องในสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 สะท้อนสัญญาณว่าผู้ตกงานหางานใหม่ยากขึ้น ขณะที่ความไม่แน่นอนจากนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์และแรงกดดันจากนโยบายภาษีเริ่มฉุดตลาดแรงงานอ่อนแอลง
วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เวลา 19.59 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐเผยแพร่ข้อมูล พบว่าจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานซ้ำ (continuing claims) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดจำนวนผู้ที่ยังคงรับเงินช่วยเหลือการว่างงาน เพิ่มขึ้น 38,000 ราย แตะระดับ 1.97 ล้านรายในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 26 กรกฎาคม
การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ขอรับสิทธิอย่างต่อเนื่องบ่งชี้ว่าแรงงานที่ตกงานกำลังประสบความยากลำบากในการหางานใหม่ อย่างไรก็ตามจำนวนผู้ขอรับสิทธิรายใหม่ยังคงอยู่ในระดับต่ำในปีนี้ สะท้อนว่าโดยรวมแล้วธุรกิจยังคงรักษาพนักงานไว้ แม้จะชะลอการจ้างงาน
จำนวนผู้ยื่นขอสิทธิครั้งแรก (initial claims) เพิ่มขึ้นเป็น 226,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้เล็กน้อย โดยตัวเลขรายสัปดาห์มีแนวโน้มผันผวน และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 4 สัปดาห์แทบไม่เปลี่ยนแปลง
นักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ต่างจับตาอย่างใกล้ชิดต่อพัฒนาการของตลาดแรงงาน หลังจากรายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่าการจ้างงานชะลอลงมากกว่าที่ประเมินไว้เดิม
รายงานฉบับนั้นยังมีการปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนลงอย่างมาก ซึ่งนำไปสู่การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งปลดผู้บริหารสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ (BLS) พร้อมกับเพิ่มความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
ตลอดช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การจ้างงานของสหรัฐชะลอตัวลง เนื่องจากภาคธุรกิจเริ่มระมัดระวังเกี่ยวกับการบริหารกำลังคนมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ โดยเฉพาะในประเด็นภาษีนำเข้า
แม้ว่าการเลิกจ้างแรงงานโดยรวมจะยังอยู่ในระดับต่ำในปีนี้ แต่บางบริษัทขนาดใหญ่ได้ประกาศปรับลดพนักงาน เช่น Merck & Co. และ Intel Corp. ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดก็มีแผนลดจำนวนพนักงานกว่า 300 คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระแสการปรับลดบุคลากรในมหาวิทยาลัยหลายแห่งจากผลกระทบของการตัดงบประมาณจากรัฐบาลกลาง
หากไม่ปรับฤดูกาล ตัวเลขผู้ขอรับสิทธิว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เพิ่มขึ้น โดยรัฐแมสซาชูเซตส์และเท็กซัสมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากที่สุด
ขณะเดียวกันข้อมูลอีกชุดในวันพฤหัสบดีระบุว่า ผลิตภาพแรงงานของสหรัฐ (labor productivity) ฟื้นตัวในไตรมาส 2 ควบคู่กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สะท้อนแนวโน้มการเพิ่มประสิทธิภาพที่กลับมาอีกครั้ง และช่วยบรรเทาแรงกดดันเงินเฟ้อจากค่าจ้างได้บางส่วน
อ้างอิง : bloomberg.com