CKPower เผยกำไรสุทธิครึ่งปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง รับรู้กำไรจากบริษัทร่วม หนุนภาพรวมแข็งแกร่ง คาด Q3 รับอานิสงส์ฤดูกาล
CKPower เผยกำไรสุทธิครึ่งปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง รับรู้กำไรจากบริษัทร่วม หนุนภาพรวมแข็งแกร่ง คาด Q3 รับอานิสงส์ฤดูกาล
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทร่วมในไตรมาสที่ 2/2568 และครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม - มิถุนายน 2568) ว่า CKPower มีผลการดำเนินงานทำกำไรโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปีนี้ โดยบริษัทฯ รับรู้กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (Core Net Profit) ในไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนปี 2568 จำนวน 353.0 และ 416.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 204.3 และ 509.2 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 137.4 และ ร้อยละ 548.1 ตามลำดับ
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และงวด 6 เดือนปี 2568 เพิ่มขึ้น ปัจจัยสำคัญมาจากปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าเฉลี่ยที่มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและต้นทุนทางการเงินของ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ลดลงตามแนวโน้มดอกเบี้ยโลก ขณะที่รายได้จากการขายไฟฟ้าของ บริษัท ไฟฟ้าน้ำงึม 2 จำกัด (NN2) ลดลงร้อยละ 3.4 และ 0.3 ตามลำดับ แม้ปริมาณการขายไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำช่วงต้นปีและปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำในปี 2568 ที่มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินบาทส่งผลต่ออัตราค่าไฟฟ้าของ NN2 และ XPCL ที่บางส่วนเป็นเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐ นอกจากนี้การรับรู้ส่วนแบ่งจากบริษัทร่วม บริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัด (LPCL) ส่วนใหญ่เกิดจากผลบวกของอัตราแลกเปลี่ยนจากการแปลงมูลค่าหนี้สินสกุลดอลลาร์
นายธนวัฒน์กล่าวอีกว่า CKPower คาดว่าผลการดำเนินในครึ่งปีหลังของปี 2568 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ในไตรมาส 3 ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำ NN2 เริ่มเพิ่มมากขึ้นตามฤดูกาล โดยครึ่งปีแรกมีน้ำไหลเข้าสะสม 1,315 ล้านลูกบาศก์เมตร สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 45.2 ส่งผลให้ NN2 สามารถประกาศความพร้อมจ่ายไฟฟ้าเดือนมกราคม-สิงหาคมมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 14.7 ขณะเดียวกัน คาดว่าปริมาณน้ำไหลเข้า NN2 และ XPCL จะยังสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะ XPCL ได้เดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตแล้วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อีกทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายปี 2567 และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ยังช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยและหนุนผลการดำเนินงาน CKPower
"สำหรับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ หลวงพระบาง (LPCL) มีความคืบหน้าการก่อสร้าง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ร้อยละ 53 ซึ่งเป็นไปตามแผน ขณะที่โครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ สำหรับผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ในระยะแรกจำนวน 3 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้ง 7.0 MW ณ ปัจจุบันเริ่มผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว 1 โครงการเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ขณะที่อีก 2 โครงการปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างดำเนินการด้านใบอนุญาตกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568" นายธนวัฒน์ กล่าวเสริม
ด้านฐานะการเงินของ CKPower ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 นั้น บริษัทฯ มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากสิ้นปี 2567 มีสาเหตุมาจากการทยอยลงทุนเพิ่มเติมใน LPCL ผนวกกับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนปี 2568 ของ XPCL และเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมครั้งที่ 1/2568 ของบริษัท มูลค่า 5,000 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่แข็งแกร่ง สะท้อนผ่านอัตราส่วนสภาพคล่อง ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.60 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมอยู่ในระดับต่ำที่ 0.56 เท่า บ่งชี้ถึงฐานะการเงินที่มั่นคงและความสามารถในการบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทจะยังคงติดตามการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยและบริหารจัดการหนี้สินระยะยาวให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา CKPower เผชิญกับความท้าทายหลากหลายปัจจัย ทั้ง ปัจจัยทางธรรมชาติ ความผันผวนของเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและของโลกที่ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยและราคาก๊าซธรรมชาติ แต่ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ผนวกกับการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้และมีทรัพยากรบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้ CKPower ปรับตัวได้อย่างยืดหยุ่นท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก้าวเดินต่อจากนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียน ทั้ง พลังงานน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมลดการใช้พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้การอนุรักษ์พลังงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่ภายในปี 2593“ นายธนวัฒน์ กล่าว