สหรัฐฯ จ่อฟันภาษียาสูงสุด 250% เลื่อนประกาศ ขณะทรัมป์โฟกัสซัมมิตอลาสก้า
ทำเนียบขาวภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าเวชภัณฑ์จากต่างประเทศ ซึ่งอาจสูงสุดถึง 250% แต่การประกาศผลการสอบสวนและมาตรการใหม่คาดว่าจะต้องเลื่อนออกไปอีกหลายสัปดาห์ จากเดิมที่วางแผนว่าจะเสร็จสิ้นช่วงกลางปีนี้ เนื่องจากทรัมป์กำลังโฟกัสกับภารกิจอื่น โดยเฉพาะการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ-รัสเซีย ที่อลาสก้าในวันศุกร์นี้
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ภายใต้การนำของ ฮาวเวิร์ด ลัทนิก เปิดการสอบสวนตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาว่าการพึ่งพาการผลิตยาจากต่างประเทศส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่ โดยครอบคลุมทั้งยาสำเร็จรูป ส่วนผสมออกฤทธิ์ (APIs) และวัตถุดิบอื่น ๆ การสอบสวนนี้ดำเนินการตามมาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act ปี 1962 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีปรับการนำเข้า รวมถึงการเก็บภาษี หากสินค้านั้นถูกนำเข้าในปริมาณที่ "คุกคามหรือทำลายความมั่นคงของชาติ"
เดิมลัทนิกเคยระบุว่าจะสรุปผลสอบสวนภายในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางมิถุนายน ก่อนจะขยับเป็นสิ้นเดือนกรกฎาคม และต่อมาเลื่อนอีกสองสัปดาห์ แต่ล่าสุดทั้งเจ้าหน้าที่รัฐยุโรป แหล่งข่าวใกล้ชิดทำเนียบขาว และผู้บริหารบริษัทยายุโรปต่างยืนยันตรงกันว่าผลสอบสวนและการประกาศภาษีไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้
ทรัมป์ยืนยันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า แผนภาษีจะเริ่มจากอัตราต่ำและค่อย ๆ เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 250% เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตยาสามารถเพิ่มกำลังผลิตภายในสหรัฐฯ และเพื่อลดสิ่งที่เขามองว่าเป็นความบิดเบือนทางการค้าโลก อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจยาเตือนว่าการเก็บภาษีอาจกระทบต่อการเข้าถึงยาของผู้ป่วย และขัดกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการลดราคายา
ในระหว่างการสอบสวน ภาคเวชภัณฑ์ยังคงได้รับการยกเว้นจากภาษีรอบก่อน ๆ ของทรัมป์ เช่นที่ใช้กับเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ ขณะที่สหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลงการค้าทวิภาคีกับสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป เพื่อให้เงื่อนไขภาษีเวชภัณฑ์ของประเทศเหล่านี้ดีกว่าที่จะบังคับใช้ในภาพรวม
แหล่งข่าวชี้ว่า ก่อนการประกาศภาษีเวชภัณฑ์ รัฐบาลทรัมป์อาจประกาศผลสอบสวนด้านเซมิคอนดักเตอร์ก่อน ซึ่งจะทำให้มาตรการด้านยาล่าช้าออกไปอีก โดยเจ้าหน้าที่รัฐยุโรปมองว่าการประกาศภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ “แทบเป็นไปไม่ได้” แม้เส้นตายอาจเปลี่ยนได้หากสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลง
หากสหรัฐฯ เดินหน้าเก็บภาษีเวชภัณฑ์จริง ก็จะเป็นอีกหนึ่งในชุดมาตรการภาษีเฉพาะภาคส่วนต่อจากโลหะและยานยนต์ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่าอาจผลักดันต้นทุนสินค้าสูงขึ้น และกระทบผู้บริโภคอเมริกันโดยตรง