ยูโอบี ชี้ กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% เร็วกว่าคาด รับมือเศรษฐกิจเปราะบาง
จากกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี โดยระบุเหตุผลว่าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวภาคเอกชน และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้สะท้อนความพร้อมของธนาคารกลางในการสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงที่ยังเปราะบาง และอาจเปิดทางไปสู่แนวนโยบายผ่อนคลายมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
นายสถิตย์ แถลงสัตยา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ ธนาคารยูโอบี (UOB) ประเทศไทย เปิดเผยกับโพสต์ทูเดย์ ว่า การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ยนับว่าเร็วกว่าที่คาดการณ์ ถือเป็น "positive surprise" เนื่องจากเดิมคาดว่าจะลดในไตรมาส 4/2568 ช่วงเดือนตุลาคมและธันวาคม หลังการเปลี่ยนผู้ว่าการ ธปท. แต่สถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศทำให้ต้องดำเนินการเร็วกว่ากำหนด
ปัจจัยสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจ ได้แก่ การขึ้นภาษีนำเข้า (tariff) โดยเฉพาะสหรัฐฯ การชะลอตัวของภาคท่องเที่ยว และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจอยู่ในภาวะเปราะบาง จึงจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโต
ทั้งนี้ คาดว่า ธปท. น่าจะคงดอกเบี้ยที่ 1.50% จนถึงปลายปี ก่อนจะปรับลดอีกครั้งในเดือนธันวาคม และอาจมีการลดต่อเนื่องในไตรมาสแรกปี 2569 โดยมีเหตุผลหลัก 3 ประการ ได้แก่
- แนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวกว่าที่ ธปท. ประเมิน ทั้งจากการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนที่ลดลงด้วยความไม่แน่นอน นับตั้งแต่ที่ทรัมป์ประกาศวันแรก ผลอาจจะทอดยาว แต่อาจจะลึกเกินกว่าที่แบงก์ชาติประเมิน คือเหตุผลหลัก ดอกเบี้ยอาจมาช่วย
- ความเสี่ยงเงินฝืด โดยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ติดลบต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2566 ทอดยาวมา ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
- ภาวะสินเชื่อตึงตัว การลดอัตราดอกเบี้ย คือการกดราคาให้ต่ำลง อย่างน้อยที่สุดเป็นทางจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจใหม่หรือ S-Curve
นายสถิตย์ กล่าวต่อว่า ในมุมมองภาคเอกชนถือเป็นภาพค่อนข้างบวก เพราะภาคการเงินต้องช่วยเอกชน หรือผู้ประกอบการในการเปลี่ยนผ่านอยู่แล้ว แต่คาดว่าผลกระทบจากปัจจัยภายนอกในระยะข้างหน้าจะมีความรุนแรง จึงจำเป็นต้องเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจภายในประเทศเพื่อรองรับแรงกดดันจากภายนอก
เช่นการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่อัตรา 19% แม้จะยังทำให้ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ แต่หากเปรียบเทียบกับอดีตที่ไทยเคยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี GSP อัตรา 0% หรือเฉลี่ยต่ำกว่า 10% สมมิติสินค้าที่ส่งออกมูลค่า 100 บาท ประเทศไทย import วัตถุดิบเข้ามาด้วย ซึ่งตามตัวเลข OECD ประเทศไทยนำเข้ามาราว 38% ของมูลค่าเพิ่ม
ตัวอย่างถ้าส่งออก 100 บาท 32 บาทเราใช้ของต่างประเทศ แต่อีก 68 บาทใช้ในประเทศ แต่ตอนเก็บภาษีเขาเก็บที่เรา ถ้าแยกส่วนที่ผลิตได้ 68% ภาษีที่เก็บไม่ใช่ 19% แต่effective tariff rate อาจสูงถึงราว 31% สูงมาก เรามองว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างแรงทั้งทางตรงและทางอ้อมกระทบขีดความสามารถการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ