เปิดสาเหตุชนวนขัดแย้งไทย-กัมพูชา บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่แย่งชิงหลุมก๊าซธรรมชาติ-แร่แรเอิร์ท

'ดร.ธีรภัทร์' เปิดสาเหตุชนวนขัดแย้งไทย-กัมพูชา บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลกแย่งชิงหลุมก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยใกล้เกาะกูด เยื้องเข้าใกล้เขตทะเลของกัมพูชา มูลค่าสามแสนล้านดอลล่าร์ บริเวณเทือกเขาบรรทัด พบ แร่แรเอิร์ท หรือ แร่หายาก มูลค่าหลายแสนล้านดอลล่าร์

13 ส.ค.2568 - ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย- กัมพูชา ตอนที่ 16 สุดท้ายของสุดท้าย มีใจความดังนี้

ความตั้งใจเดิมจะเขียนบทความ เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ตอนที่ 15 (ที่นำเสนอเมื่อวันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2568) เป็นตอนสุดท้าย แต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ผมได้รับเชิญไปบรรยายและร่วมสัมมนากับคณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทยในกรณีเขาพระวิหาร- มณฑลบูรพาและขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ทำให้รับทราบข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนเพิ่มเติม จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นตอนสุดท้ายของสุดท้าย

สาเหตุหนึ่งที่จุดชนวนความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งดินแดนทางบกและทางทะเล ก็คือการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติอันมีมูลค่ามหาศาล ซึ่งจะขอกล่าวถึงทรัพยากรใต้ทะเลอ่าวไทยกันก่อน
ท่านผู้รู้ท่านหนึ่งในวงสัมมนา(ท่านศาสตราจารย์(วุฒิคุณ)ดร.เชียรช่วง กัลยาณมิตร)เล่าว่าในราวๆ พ.ศ. 2548 ก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ญาติของท่าน ชื่อ เคนเนท กัลยาณมิตร ซึ่งทำงานให้กับบริษัทขุดเจาะน้ำมันระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองฮุสตัน มลรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อบริษัท(ถ้าสะกดไม่ผิด)น่าจะเป็นบริษัท ซลัมเบอร์เจ เอเชีย แปซิฟิก ซึ่งเป็น “บริษัทครู”ของ ปตท.สผ.

เคนเนท สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย MIT หรือ Massachusetts Institute of Technology มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก อยู่ในระดับ Top Five ของสหรับอเมริกา ได้มาปรารภกับบุคคลในครอบครัวว่าได้พบขุมทรัพย์ใต้ท้องทะเลในอ่าวไทย เป็นก๊าซธรรมชาติเหลว หรือคอนเดนเสท(Condensate) เป็นหลุมใหญ่มหึมาเพียงหลุมเดียว หรือเป็นหลุมเดี่ยวที่ไม่ใช่หลุมพรุน ซึ่งสามารถขุดเจาะนำขึ้นมาใช้ได้ไม่ต่ำกว่า 50-100 ปี ซึ่งนับจากเวลาปัจจุบัน(พ.ศ. 2568) จะเหลือเวลาอีกประมาณ 14 ปีที่จะสามารถขุดขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ หลังจากนั้นมันอาจจะแห้ง และไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป

หลุมก๊าซธรรมชาติเหลวนี้มีลักษณะคล้ายๆรูปกระเปาะเป็นแท่งยาว ความยาวหรือความลึกประมาณ 10 กิโลเมตร มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ซึ่งในความเข้าใจของผมเองจากที่ได้ยินได้ฟังจากผู้รู้บางท่านว่าน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าสิบล้านล้านบาท(หรือสามแสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ) บางท่านประมาณการณ์ไว้ถึงยี่สิบล้านล้านบาทก็มี ข้อมูลดังกล่าวนี้ ปัจจุบันไม่ได้เป็นความลับอะไรอีกต่อไป เพราะเป็นที่รับรู้กันไปแล้วทั่วโลก

บริเวณของหลุมก๊าซธรรมชาติเหลวนี้อยู่บริเวณอ่าวไทยในอาณาเขตของทะเลอาณาเขตของประเทศไทยหรืออยู่ใต้เกาะกูด และเยื้องเข้าไปใกล้เขตทะเลอาณาเขตของกัมพูชา

บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างน้อย 2-3 บริษัทพยายามแย่งชิงหลุมก๊าซธรรมชาติดังกล่าว บริษัทสัญชาติอเมริกันมี 2 บริษัทที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คือ บริษัทเชฟรอน และบริษัทฟิลลิปส์ โคโนโค หรือ โคโนโคฟิลลิปส์(ConocoPhillips) บริษัทน้ำมันเอกชนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา และบริษัทสัญชาติฝรั่งเศสอีก 1 บริษัท คือบริษัทโททาล เอส เอ (Total S.A.(NYSE:TOT)หรือโททาลเอนเนอร์ยีส์ กรุ๊ปของประเทศฝรั่งเศส และบริษัทสัญชาติออสเตรเลียเป็นตัวสอดแทรกอีก 1 บริษัท คือ บริษัทเคอเตน ที่ตั้งอยู่ที่เมืองเฟิร์ท(Perth)ประเทศออสเตรเลีย

สิ่งที่ท่านผู้รู้ในวงสัมมนาหวั่นวิตกก็คือ เทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมันของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ สามารถขุดเจาะโดยใช้ท่อเอียง 90 องศา เจาะทะลุเข้ามาถึงหลุมก๊าซธรรมชาติได้ โดยไม่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น ได้สัมปทานในเขตทะเลของกัมพูชา แล้วใช้เทคโนโลยีท่อเอียงเข้ามาเจาะหลุมก๊าซธรรมชาติในเขตอธิปไตยของประเทศไทยได้ เทคโนโลยีแบบนี้เรียกว่าการเจาะหลุมเอียง(Deviated Drilling)เป็นเทคนิคการเจาะในหลายๆองศาจากแนวดิ่ง แล้วมาเจาะเป็นมุมเอียงหรือแนวทแยง เพื่อให้เข้าถึงแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมได้มากที่สุด โดยสามารถเจาะได้หลายๆหลุมจากแท่นผลิตเดียวกัน

สำหรับ กรณีพิพาทบริเวณแนวเขตแดนทางบกระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา มีผู้รู้อีกท่านหนึ่ง(ท่านวิวัฒน์ไชย กุลมาตย์) ท่านแสดงความคิดเห็นว่าในบริเวณเทือกเขาบรรทัด ได้เคยมีการสำรวจพบแหล่งแร่ปริมาณมากที่เรียกว่า แร่แรเอิร์ท(Rare Earth) หรือแร่หายาก คือ กลุ่มโลหะสุดพิเศษ 17 ชนิด ได้แก่ สแกนเดียม(Sc) อิตเทรียม(Y) และแร่ธาตุแลนทาไนตือีก 15 ตัว ได้แก่ แลนทานัม(La) ซีเรียม(Ce) เพรซีโอดิเมียม(Pr) นิโอดิเมียม(Nd) โพรมีเทียม(Pm) ซาแมเรียม(Sm) ยูโรเพียม(Eu) แกดดลิเนียม(Gd) เทอรืเบียม(Tb) ดิสโพรเซียม(Dy) โฮลเมียม(Ho) เออรืเบียม(Er) ทูเลียม(Tm) อิตเทอร์เบียม(Yb) และลูทีเซียม(Lu)

ซึ่งตามข้อมูลจาก US Geological Survey (USGS) ปี 2566 อุตสาหกรรมที่ใช้แร่ Rare Earth มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลล่าร์ และความต้องการยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จากกระแสพลังงานสะอาด และรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนั้นแร่หายากชนิดนี้ยังสามารถนำมาใช้ในการผลิตขีปนาวุธ เครื่องบินรบ โดรน เรดาร์ เพื่อความแม่นยำและมีประสิทธิภาพอีกด้วย

ข้อมูลต่างๆที่นำมาเสนอนี้ น่าจะมีส่วนเป็นความจริงค่อนข้างมากทีเดียว โดยเฉพาะแหล่งก๊าซธรรมชาติเหลวในท้องทะเลอ่าวไทย ผมไม่ใช่ผู้รู้ทางด้านนี้ เป็นแต่เพียงนำข้อมูลที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้พึงพิจารณากันต่อไป

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ จ่าสิบตรี ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์
อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
อดีตประธานสภาพัฒนาการเมือง
ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต ม.รังสิต
12 สิงหาคม 2568